ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เมื่อวานนี้ 24 มิ.ย. 2552 เวลา 17.48 น. โอนเงินร่วมทำบุญสงเคราะห์พระสงฆ์อาพาธกับทุนนิธิฯ จำนวน 500 บาทค่ะ อนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านค่ะ
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาและวันนี้ ทางทุนนิธิฯ ได้ดำเนินการโอนเงินผ่านธนาคารและทางธนาณัติส่งไปให้โรงพยาบาลทางภูมิภาคต่างๆ รวม 6 แห่งสำหรับการช่วยสงฆ์อาพาธในเดือนมิถุนายน 2552 เป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 35,000.-บาท โดยมีรายละเอียดคือ

    1. รพ.แม่สอด จ.ตาก 6,000.-
    2. รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    3. รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน 6,000.-
    4. รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000.-
    5. รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    6. รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-

    และขอนำสำเนาสลิปต่างๆ มาแสดงให้ทราบด้วยกันพร้อมนี้ด้วยครับ


    ของ รพ.ศรีนครินทร์ (ผ่านกองทุนหลวงปู่เทสก์) และ รพ.สงขลา

    [​IMG]

    ของ รพ.มหาราช และ รพ.แม่สอด


    ของ รพ.50 พรรษามหาวชิราลงกรณ (ไม่มีการันต์)



    ของ รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอโมทนาและสาธุึบุญกับเธอด้วย "จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิต"


    [​IMG]



    ขอมอบภาพนี้เพื่อเป็นสังฆานุสสติต่อทุกคน
    (ที่มาเวบพลังจิต)
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คยถามตัวเองมั๊ย ฉันทำบุญเพื่ออะไร สะสมบุญไปทำไม หรือจะโอนเงินไปช่วยสงฆ์อาพาธดีมั๊ย ถ้าถามผม ผมก็ต้องบอกว่าผมเชื่อในพลังบุญ คนเราทุกคนมีเทวดาท่านรักษาเราอยู่ เรามีพลังบุญมาก เทวดาก็โมทนาและสาธุให้เรามาก จะทำการงานสิ่งใดเทวดาท่านก็อวยชัยให้พรให้สำเร็จตามประสงค์ รวมถึงคอยปกป้องคุ้มกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ไม่ให้เข้ามาหา พวกที่ทำบุญมาก พลังบุญจะแผ่ออกมาทั้งตามใบหน้าและแววตา ผิวพรรณจะผ่องใส คนเหล่านี้พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านมองเห็นพลังบุญหรือรัศมีบุญได้ อย่างที่เราเคยได้ยินคำพูดว่า "เขาเป็นคนดี" หรือ "เขามาดีเราต้องช่วยเขา" ตรงกันข้าม หากพลังบาปมาก ก็จะดูไม่สดใสและหม่นหมอง ดูแล้วห่ดหู่ใจ ไม่น่ามอง แล้วคุณล่ะ เชื่อในพลังบุญอย่างผมมั๊ย...

    พันวฤทธิ์

    บทความเรื่องบุญ

    [​IMG]


    ตั้งใจสะสมบุญไว้แก่ตนให้มาก เพราะ บุญ ชื่อว่าความสุข

    ตั้งใจสะสมบุญไว้แก่ตนให้มาก
    เพราะ บุญ ชื่อว่าความสุข
    การสะสมบุญเป็นความสุข
    ให้ยินดีให้มากใน ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา
    นี่ พระพุทธเจ้าสอนพวกเราไว้อย่างนี้
    พระองค์ชี้ช่องไว้อย่างละเอียดลออ
    ทำให้เกิดให้มีแล้ว ก็ได้สุขในปัจจุบันนี้เอง
    ได้สุข ได้ประโยชน์ แล้ว
    ย่อมองอาจกล้าหาญ
    ปฏิญาณตนต่อสุจริตธรรมได้ตลอดไป
    เราทุกคนเป็นผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ก็ให้ตรวจตราดูตนเอง
    ทาน อย่างใด
    ศีล อย่างใด
    ภาวนา อย่างใด
    ปัญญา อย่างใด
    สูเจ้าเกิดมาทำไม
    เกิดมาเพื่ออะไร
    ไม่รู้หรือว่า เกิดมาแล้วมันทุกข์หนักหนา
    ไม่ต้องบ่นในทุกข์ของตนหรอก
    คิดนึกให้ดี ดูสิว่า ทุกข์มันเกิดมาจากที่ใด
    อยากก็ทุกข์
    โกรธก็ทุกข์
    หลงก็ทุกข์
    ราคะก็ทุกข์
    ตัณหาก็ทุกข์
    ใจก็ทุกข์เสมอใจ กายก็ทุกข์เสมอกาย
    เมื่อไม่คิดอ่านพิจารณา อย่างนี้
    จะดับทุกข์ได้อย่างใด จะได้สุขได้อย่างใด
    ทุกข์กายมันพอไหว ทุกข์ใจมันเหมือนทน
    การศึกษาธรรมะ การปฏิบัติธรรมะ นั้น
    ขอให้จับเอาอันเดียว อย่างเดียว ที่เหมาะแก่ตัวเอง
    ยึดเอาอุบายอย่างเดียวเท่านั้น
    แล้วตั้งใจทำจริงๆ
    อย่าด่วนทิ้ง
    แต่นักปฏิบัติเดี๋ยวนี้ เรียนมาก ศึกษามาก
    มากครู มากอาจารย์ ท่องเที่ยวทั่วไปหมด
    เลยจับตัวของตัวไม่ได้ ไม่รู้ตนของตน
    นี่ เรียกว่า ศึกษาธรรม แล้ว ไม่ธรรม
    ฟังธรรม แล้ว ไม่ทำ
    อย่าเมานักนะ กับแนวทางปฏิบัติที่ผิดทาง
    นักบวชเดี๋ยวนี้ก็เชื่อได้ยาก ถือเป็นครู เป็นอาจารย์
    เราต้องพิจารณาให้ดี
    ยึด " พุท-โธ " อันเดียวก็ใช้กายใจได้แล้ว

    ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือคุรุแก้วปณิธาน วัดป่าวิเวกวัฒนาราม คำชะอี จ.มุกดาหาร
     
  5. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099

    ขออนุโมทนาสาธุในข้อความต่างๆ ครับ

    เมื่อวานได้หนังสือธรรมาหลายเล่ม

    เล่มนี้ชื่อ "พุทธวจนะในธรรมบท"

    ข้อความตอนหนึ่ง

    ปัญญาชน คบบัณฑิต
    แม้เพียงครู่เดียว
    ก็พลันรู้แจ้งพระธรรม
    เหมือนลิ้นรู้รสแกง


    สาธุ
     
  6. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    [FONT=&quot]การนั่งสมาธิแฟชั่นล่าสุดของตะวันตก[/FONT][FONT=&quot] <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] <hr style="color: rgb(187, 193, 200);" size="1" width="100%" align="center" noshade="noshade"> [/FONT]​
    [FONT=&quot]สิทธพงศ์ อุรุวาทิน[/FONT][FONT=&quot] แปลและเรียบเรียงจาก นิตยสารไทม์ ฉบับ ๔ ส.ค.๒๕๔๖[/FONT][FONT=&quot]
    จุดประกายสารคดี วันพฤหัสที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๖
    กรุงเทพธุรกิจ : จุดประกาย หน้า ๓[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] การนั่งสมาธิกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในซีกโลกตะวันตก ขณะที่ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่า การทำสมาธิ ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย หากยังทำให้ความเครียดในใจลดลงด้วย<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ทุกวันนี้ในอเมริกา มีคนวัยผู้ใหญ่มากกว่า ๑๐ ล้านคน ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิในแบบพุทธ ฮินดู เต๋า หรือการสวดภาวนาในแบบคริสต์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าว เพิ่มขึ้นจากเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วถึงเท่าตัว ขณะเดียวกันชั้นเรียนการนั่งสมาธิ ก็เต็มไปด้วยนักเรียนที่มาจากทุกชนชั้นอาชีพ ไม่เฉพาะแต่คนที่ฝักใฝ่ในทางธรรมเท่านั้น หากยังรวมไปถึงนักกฎหมาย และคนทำงานออฟฟิศทั่วไปด้วย<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ในปัจจุบัน การนั่งสมาธิ ไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบาก ถึงขั้นต้องบุกป่าฝ่าดงเพื่อฝากตัวเป็นสาวกท่านมหาฤาษีเหมือนในสมัยก่อน ว่ากันจริงๆ แล้ว การนั่งสมาธิกลายเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงแล้วด้วยซ้ำ ตามโรงเรียน โรงพยาบาล สำนักงานกฎหมาย หน่วยงานราชการ สำนักงานบริษัท และแม้แต่ในเรือนจำ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] การนั่งสมาธิ กลายเป็นหัวข้อวิชาในหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้อแนะนำของฟิลแจ็คสัน โค้ชทีมแอลเอ.เลเกอร์ส ส่วนที่มหาวิทยาลัยมหาริชชี (หรือมหาฤาษี) ในเมืองแฟร์ฟิลด์ รัฐไอโอวา นักเรียน นักศึกษาของที่นี่ จะนั่งสมาธิร่วมกันทุกวันๆๆ ละ ๒ ครั้ง ขณะที่ศูนย์ชัมบาลา เมาน์เทน ในโคโลราโด ซึ่งดูเหมือนสถานกาสิโนในสไตล์ทิเบต มีคนมาใช้บริการเพิ่มขึ้นจาก ๑,๓๔๒ คน ในปี ๒๕๔๑ เป็น ๑๕,๐๐๐ คน ในปีนี้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ดารา นักการเมือง และผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากในอเมริกาหันมานั่งสมาธิอย่างจริงจัง อาทิ โกลดี้ ฮอว์น ดาราสาวใหญ่ที่ยังสวยไม่สร่าง, ชาไนยา ทเวน นักร้องคันทรีสาวสวย, ฮีทเธอร์ แกรมห์ ดาราสาวหุ่นเซกซี่, ริชาร์ด เกียร์ นักแสดงมากฝีมือ และ อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดี ซึ่งเกือบๆ จะได้เป็นประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ขณะที่การนั่งสมาธิกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้น รูปแบบและวิธีการของมัน ก็ถูกทำให้เรียบง่าย และตัดส่วนที่เป็นเรื่องลี้ลับออกไปด้วย ทุกวันนี้ การนั่งสมาธิไม่จำเป็นต้องมีการจุดธูปเทียน หรือพิธีกรรมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังคงส่วนที่เป็นแก่นสำคัญอยู่ คือ ความเชื่อที่ว่า การนั่งเงียบๆ เป็นเวลา ๑๐-๔๐ นาที โดยให้ใจจดจ่ออยู่กับรูปภาพ ถ้อยคำหรือแม้แต่ลมหายใจ จะทำให้คุณเกิดสมาธิที่อยู่กับภาวะปัจจุบัน โดยไม่วอกแวกไปกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง รวมทั้งทำให้คุณสามารถเข้าสู่สัจธรรมได้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ความนิยมในการนั่งสมาธิที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นแค่กระแสในทางวัฒนธรรมเท่านั้น หากยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ด้วยเนื่องจากแพทย์หลายคนแนะนำ ว่า การนั่งสมาธิช่วยป้องกัน หรืออย่างน้อยก็ยับยั้งความเจ็บปวดจากโรคเรื้อรัง อย่างเช่น โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) และโรคมะเร็ง นอกจากนี้ การนั่งสมาธิ ยังเป็นสิ่งที่แพทย์แนะนำให้ทำ เพื่อแก้อาการทางจิต อาทิ ภาวะซึมเศร้า (depression) ภาวะไฮเปอร์แอคทีฟ (hyperactivity) และอาการสมาธิสั้น(attention deficit disorder) <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องการนั่งสมาธิ มีขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐-๒๕๑๐ ซึ่งได้ผลลัพธ์ยืนยันว่า การนั่งสมาธิทำให้จิตใจ "อยู่กับปัจจุบัน" อย่างแท้จริง<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ในอินเดีย นักวิจัยชื่อ พี.เค.อนันต์ พบว่า บรรดาโยคีที่อยู่ในภาวะ "สมาธิ" จะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้ว่าจะถูกวัตถุร้อนแนบเข้าที่ต้นแขน ขณะที่ในญี่ปุ่น ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ที.ฮิราอิ แสดงให้เห็นว่า ผู้นั่งสมาธิแบบ "เซน" จะอยู่ในภวังค์ จนไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังติดต่อกันนานถึงชั่วโมง<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o></o>[/FONT]
    <table class="MsoNormalTable" style="background: rgb(102, 51, 0) none repeat scroll 0% 0%; width: 300pt; -moz-background-clip: -moz-initial; -moz-background-origin: -moz-initial; -moz-background-inline-policy: -moz-initial;" width="400" align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="1"> <tbody><tr style=""> <td style="padding: 3.75pt;"> [FONT=&quot]ประวัติศาสตร์การนั่งสมาธิ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    </td> </tr> <tr style=""> <td style="padding: 3.75pt; background: white none repeat scroll 0% 0%; -moz-background-clip: -moz-initial; -moz-background-origin: -moz-initial; -moz-background-inline-policy: -moz-initial;"> [FONT=&quot] การนั่งสมาธิเป็นศาสตร์เก่าแก่เกือบจะพอๆ กับประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์ของโลกตะวันออก[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ยุคก่อนประวัติศาสตร์ - ความเชื่อของพ่อมดหมอผี[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีใครรู้แน่ว่า การนั่งสมาธิเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่คาดว่า น่าจะมีขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว และอาจเป็นพิธีกรรมที่จำกัดเฉพาะพ่อมดหมอผี หรือคนที่เชื่อว่ามีอำนาจติดต่อกับโลกวิญญาณที่คนทั่วไปมองไม่เห็น[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]๒๐๐๐-๓๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล-ศาสนาพราหมณ์[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]<o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]การนั่งสมาธิมีกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวทของศาสตร์พราหมณ์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาฮินดูนับตั้งแต่นั้นมา[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]๕๘๘ ปี ก่อนคริสตกาล-ศาสนาพุทธ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลังจากนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงบรรลุนิพพานเข้าถึงสัจธรรมของศาสนาพุทธ ทำให้การนั่งสมาธิกลายเป็นส่วนสำคัญของศาสนาพุทธทุกนิกาย[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]คริสต์ศตวรรษที่ ๒ -ศาสนาคริสต์[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]บาทหลวงชาวคริสต์ที่เรียกตัวเองว่า เดสเสิร์ท ฟาเธอร์ หรือคุณพ่อแห่งท้องทะเลทราย ปลีกวิเวกจากสังคมเมือง และใช้การทำสมาธิในรูปของการสวดภาวนา เป็นหนทางเข้าใกล้พระเจ้า นับจากนั้นเป็นต้นมา การทำสมาธิ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาคริสต์[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]คริสต์ศตวรรษที่ ๒ -ศาสนายิว[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]นิกายบาลิสติค อันเป็นนิกายลึกลับของศาสนายิว ให้ความสำคัญกับการทำสมาธิ เพื่อติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]คริสต์ศตวรรษที่ ๒ -ศาสนาอิสลาม[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ในช่วงเวลาเดียวกัน ชาวมุสลิมนิกายซูฟี ทำให้การทำสมาธิ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ค.ศ.๑๙๖๗ หรือ พ.ศ. ๒๕๑๐ โยคะตามแบบมหาริชชี[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]มหาริชชี หรือมหาฤาษี ทำให้การนั่งสมาธิกลายเป็นแฟชั่นของโลกตะวันตก เมื่อสมาชิกวงเดอะ บีทเทิลส์ กลายเป็นสานุศิษย์ของท่าน[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    </td> </tr> </tbody></table> [FONT=&quot] ในปี ๒๕๑๐ ดร.เฮอร์เบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ จากฮาร์วาร์ด ใช้เครื่องมือแพทย์ ตรวจวัดการทำงานของร่างกาย ผู้นั่งสมาธิ ๓๖ คน พบว่าเมื่อคนเราอยู่ในภาวะสมาธิ ร่างกายจะใช้ออกซิเจนน้อยลง ๑๗% ขณะที่อัตราการเต้นของหัวใจจะลดลง จากภาวะปกตินาทีละ ๓ ครั้ง ขณะที่คลื่นสมอง "เธต้า" อันเป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้น ในภาวะหลับสนิท จะเพิ่มสูงขึ้น<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] เบนสัน สรุปว่า การนั่งสมาธิช่วยให้คนเรามีจิตใจที่สงบขึ้น และมีความสุขมากขึ้น<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] "สิ่งที่ผมทำ" เบนสัน ระบุ "เป็นการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ ต่อเทคนิคที่คนเราได้เรียนรู้ และนำมาประยุกต์ใช้ ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว"<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] การศึกษาเรื่อง การนั่งสมาธ ิเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เมื่อเดือน มี.ค ๒๕๔๓ เมื่อองค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งธิเบต ได้พบปะพูดคุยกับนักจิตวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาท ที่ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย ซึ่งพระองค์เสนอให้มีการศึกษาเรื่อง ภาวะสมาธิ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ในการตรวจวัดคลื่นสมอง ซึ่งจะมีการหารือผลของการศึกษานี้ ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] สิ่งหนึ่งที่วงการวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ ก็คือการปฏิบัติสมาธิในระยะหนึ่ง จะทำให้ระบบประสาทในสมอง ปรับตัวให้เข้ากับกิจกรรมในสมองส่วนตัว ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การคิดโดยใช้เหตุผล การตระหนักรู้ และการควบคุมอารมณ์มากขึ้น<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] "การศึกษาวิจัยในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมา ทำให้เราพบว่า การนั่งสมาธิ เป็นยารักษาอาการเครียดได้ชะงัดนัก" แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนหนังสือ Destructive Emotions ซึ่งรวบรวมบทสนทนาระหว่างองค์ทะไล ลามะ กับคณะนักประสาทวิทยากล่าว "แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้น ก็คือ นั่งสมาธิ ยังช่วยปรับสภาพจิตใจและสมองได้อีกด้วย"<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] ทั้งนี้ ผลการวิจัย ซึ่งรวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน พบว่า การนั่งสมาธิทำให้สมองกลับมาอยู่ในสภาพ "สด-ใหม่" รวมถึงขจัดอาการ "ปัญหาจราจรติดขัด" ในเส้นเลือด หรืออาการเส้นเลือดอุดตัน และที่สำคัญ ต้นทุนในการนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เพียงแค่เบาะรองนั่งใบเดียว ก็ถูกกว่าการผ่าตัดใหญ่หลายเท่าตัว<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] "การนั่งสมาธิเป็นเหมือนการเติมน้ำมันให้กับสมอง" โรเบิร์ท เธอร์แมน ผู้อำนวยการสถาบันทิเบต เฮาส์ กล่าว "การนั่งสมาธิในแบบเอเซีย อาจเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุด"<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] "อีกอย่างที่ผมอยากจะเสนอ ก็คือเราควรแยกออกจากกัน ระหว่างการนั่งสมาธิกับการนับถือศาสนาพุทธ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาหรือความเชื่อแบบใด คุณก็สามารถนั่งสมาธิในแบบพุทธได้" เธอร์แมน กล่าว.. <!--[if gte vml 1]><v:shapetype id="_x0000_t75" coordsize="21600,21600" o:spt="75" o:preferrelative="t" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f"> <v:stroke joinstyle="miter"/> <v:formulas> <v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"/> <v:f eqn="sum @0 1 0"/> <v:f eqn="sum 0 0 @1"/> <v:f eqn="prod @2 1 2"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @0 0 1"/> <v:f eqn="prod @6 1 2"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="sum @8 21600 0"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @10 21600 0"/> </v:formulas> <v:path o:extrusionok="f" gradientshapeok="t" o:connecttype="rect"/> <o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"/> </v:shapetype><v:shape id="Picture_x0020_80" o:spid="_x0000_i1026" type="#_x0000_t75" alt="." style='width:6pt;height:6pt;visibility:visible'> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\PipAt\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title=""/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[/FONT]
    [FONT=&quot]

    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2009
  7. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ผมและครอบครัวขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  8. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ในวาระใกล้ครบรอบ 200 ปีชาตะกาล "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์"

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์)


    วัดบวรนิเวศวิหาร


    นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๐ ฉบับที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๐


    [​IMG]


    [​IMG]


    พระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์


    พระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    นับแต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๖ ในรัชกาลที่ ๔ แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกจนตลอดรัชกาล เป็นเวลา ๑๕ ปี ฉะนั้น ในรัชกาลที่ ๔ จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชจนเกือบตลอดรัชกาล เพราะสมเด็จฯ กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่เพียงปีเศษ ตอนต้นรัชกาลเท่านั้น
    เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ทรงดำรงสมณฐานันดรเป็นที่สองจาก สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส <SUP>(๑)</SUP>
    มาในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้โปรดสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราช ตลอดช่วงต้นแห่งรัชกาล เป็นเวลาถึง ๒๓ ปี ฉะนั้น ในช่วงต้น รัชกาลที่ ๕ จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่ถึง ๒๓ ปี จึงได้ทรงสถาปนา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ เป็นสมเด็จพระสังฆราช นับเป็นพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    พระประวัติในเบื้องต้น
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ และเจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก ประสูติเมื่อวันจันทร์ เดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๕๒ ตรงกับวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ อันเป็นวันเริ่มสวดมนต์ ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ จึงได้พระราชทานนามว่า พระองค์เจ้าฤกษ์
    ทรงผนวช
    พ.ศ. ๒๓๖๕ พระชนมายุ ๑๓ พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ในสำนักพระญาณสมโพธิ (รอด) ครั้งทรงผนวชเป็นสามเณรได้ ๔ พรรษา ประชวรไข้ทรพิษต้องลาผนวชออกมารักษาพระองค์ เมื่อหายประชวรแล้ว สมเด็จกรมพระราชบวรมหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงจัดการให้ทรงผนวชเป็นสามเณรอีกครั้งหนึ่ง
    พ.ศ. ๒๓๗๒ พระชนมายุครบทรงผนวชเป็นพระภิกษุ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ทรงลาผนวชออกสมโภช แล้วแห่พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ เจ้าฟ้าอาภรณ์ ที่จะทรงผนวชเป็นเป็นสามเณรในเวลานั้น ในการทรงผนวชเป็นพระภิกษุนั้น สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ขณะทรงดำรงพระอิศริยยศเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส กับพระวินัยรักขิต วัดมหาธาตุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    [​IMG]เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุแล้วทรงศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ ณ วัดมหาธาตุนั้น เช่นกัน ในเวลานั้น (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระเจริญพระชนมายุกว่า ๕ พรรษา) เป็นเหตุให้ทรงเลื่อมใสในลัทธิธรรมวินัยตามอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ภายหลังจึงได้ทรงอุปสมบทซ้ำอีกครั้งหนึ่งในนทีสีมา โดยพระสุเมธาจารย์ (พุทธวังสะ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ <SUP>(๒)</SUP>
    สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมจนทรงแตกฉานในภาษาบาลี แต่ไม่ทรงเข้าสอบเพื่อเป็นเปรียญ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก ที่เคยพระราชทานแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เมื่อครั้งยังมิได้ทรงเป็นพระราชาคณะให้ทรงถือเป็นเกียรติยศ สืบมา พระนิพนธ์อันเป็นเครื่องแสดงถึงพระปรีชาสามารถในภาษาบาลีของพระองค์ก็คือ พระนิพนธ์เรื่อง สุคตวิทัตถิวิธานซึ่งทรงนิพนธ์เป็นภาษาบาลีว่าด้วยเรื่องการวิเคราะห์คืบพระสุคตอันเป็นมาตราวัดที่มีกล่าวถึงในทาง พระวินัย นอกจากนี้ ก็ได้ทรงนิพนธ์เรื่องเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เป็น ภาษาบาลีไว้อีกหลายเรื่อง นับว่าทรงเป็นปราชญ์ทาง ภาษาบาลีที่สำคัญพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์
    ในรัชกาล ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะสมณศักดิ์ เสมอพระราชาคณะสามัญ พระราชทานตาลปัตรแฉกถมปัดเป็นพัดยศ
    พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะยังทรงผนวชอยู่ ทรงเป็นพระเถราจารย์ประธานแห่งพระสงฆ์ธรรมยุตินิกายทรงลาผนวชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นรัชกาลที่ ๔ จึงได้ทรงสถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าฤกษ์ เป็นกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ทรงอิศริยยศเป็นประธานาธิบดีแห่งพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า “ธรรมยุติกนิกายิกสังฆมัธยมบวรนิเวสาธิคณะ” ทรงดำรงสมณฐานันดรเป็นที่สองรองจาก สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆปริณายก คือสมเด็จพระสังฆราชอยู่ในขณะนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จึงทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตเป็นพระองค์แรก <SUP>(๓)</SUP>
    ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์
    พ.ศ. ๒๔๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ขณะทรงพระอิศริยยศเป็นกรมหมื่นบวรรังษี สุริยพันธุ์ ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ เมื่อทรงผนวชแล้ว เสด็จประทับที่พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน โดยทรงเชิญเสด็จสมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่ต่างวัดเข้าไปอยู่ด้วยพอครบคณะสงฆ์ ทรงผนวชอยู่ ๑๕ วันก็ทรงลาผนวช <SUP>(๔)</SUP>
    หลังจากเสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภที่จะถวายมหาสมณุตมาภิเษกพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษี สุริยพันธุ์ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช แต่สมเด็จมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้นไม่ทรงรับ ทรงถ่อมพระองค์อยู่ว่า เป็นพระองค์เจ้าในพระราชวังบวรฯ จักข้ามเจ้านายที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอทั้งทรงเจริญพระชนมายุกว่าก็มี จักเป็นที่ทรงรังเกียจของท่าน จึงทรงรับเลื่อนเพียงเป็นกรมพระ เสมอด้วยเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในชั้นเท่านั้น <SUP>(๕) </SUP>จึงทรงพระกรุณาโปรดให้เลื่อนพระ อิศริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ <SUP>(๖)</SUP>
    การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลื่อนพระอิศริยยศ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ครั้งนี้ แม้ว่าพระองค์จะไม่รับถวายมหาสมณุตมาภิเษก ในที่สมเด็จพระสังฆราช แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ถวายพระเกียรติยศในทางสมณศักดิ์สูงสุดเท่ากับทรงเป็นสมเด็จ พระสังฆราชดังปรากฏในคำประกาศเลื่อนกรมว่า “สมควรเป็นสังฆปรินายกประธานาธิบดี มีสมณศักดิ์อิศริยยศใหญ่ยิ่งกว่าบรรดาสงฆ์บรรพสัชทั้งปวงในฝ่ายพุทธจักร” <SUP>(๗) </SUP>ฉะนั้น ในช่วงต้นรัชกาล มาจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๔ เป็นเวลา ๒๓ ปี จึงว่างสมเด็จพระสังฆราช
    ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษก
    [​IMG]พ.ศ. ๒๔๓๔ อันเป็นบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพแห่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษก ขณะเมื่อทรงรับถวายมหาสมณุตมาภิเษกนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเจริญพระชนมายุถึง ๘๒ พรรษาแล้ว มาในคราวนี้ ทรงยอมรับถวายมหาสมณุตมาภิเษก เพราะเจ้านายชั้นเดียวกันสิ้นพระชนม์แล้วทั้งสิ้น มีเจ้านายผู้ใหญ่เจริญพระชนมายุเหลืออยู่แต่พระองค์เพียงพระองค์เดียว <SUP>(๘)</SUP>
    การพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก (ของเดิมเขียน มหาสมณุตมาภิเศก) ทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งพระราชพิธีสงฆ์ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร มีเทียนชัยและเตียงพระสวดภาณวารตั้งพระแท่นเศวตฉัตร ในนั้น ตั้งพระแท่นสรงที่ศาลากำแพงแก้ว โรงพิธีพราหมณ์ตั้งริมคูนอกกำแพงบริเวณนั้นออกมา มีสวดมนต์ตั้งน้ำวงด้ายวัน ๑ พระสงฆ์ ๒๐ รูป รุ่งเช้าจุดเทียนชัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นโปรดให้กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสทรงจุด พระสงฆ์เข้าพระราชพิธี ๓๐ รูป สวดมนต์ ๓ เวลาและสวดภาณวาร ๓ วัน ๓ คืน เช้าวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๔ สรงแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นเศวตรฉัตร มีประกาศกระแสพระบรมราชโองการทรงสถาปนาแล้ว ทรงรับพระสุพรรณบัฏ เครื่องยศ ดอกไม้ธูปเทียนและต้นไม้ทองเงินของหลวงแล้ว ทรงถวายศีล เป็นเสร็จการรับมหาสมณุตมาภิเษกเพียงเท่านี้ ต่อนั้นทรงธรรม ๔ กัณฑ์อนุโลมตามบรมราชาภิเษกกัณฑ์ทศพิธราชธรรมจรรยาเปลี่ยนเป็นไตรสิกขาและ ทรงรับดอกไม้ธูปเทียนของ พระสงฆ์พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ <SUP>(๙)</SUP>
    <SUP></SUP>
    <SUP>ขอขอบคุณข้อมูล</SUP>
    <SUP>LINK</SUP>
     
  9. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ประกาศการมหาสมณุตมาภิเศก

    ศุภมัสดุ พระพุทธสาสนกาล เป็นอดีตภาคล่วงแล้ว ๒๔๓๔ พรรษา ปัตยุบันกาล จันทรคตินิยม สสสังวัจฉร กรรติกมาศกาฬปักษ์ พาระสีดิถี ศุกรวาร สุริยคติกาล รัตนโกสินทรศก ๑๑๐ พฤศจิกายนมาศ สัตตวีสติมวารปริเฉทกาลกำหนด
    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศ์บริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรัตนบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนารถ มหามกุฏราชวรางกูร สุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฐไพบูลย์ บูรพาดูลย์กฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมาล ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษสรรพ เทเวศรานุรักษ์ วิสิฐศักดิสมญา พินิตประชานารถเปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขมาตยาภิรมย์ อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยามาทินคร วรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร อเนกชนนิกรสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเสวตรฉัตราดิฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนารถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิอรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร์ ปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตรพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ทรงพระราชดำริว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ได้ดำรงพระยศเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าต่างกรมผู้ใหญ่ แลเปนสังฆปรินายกปธานาธิบดี มีสมณะศักดิใหญ่ยิ่งกว่าบรรดาสงฆบรรพสัช ทั่วพระราชอาณาเขตร มาตั้งแต่วันศุกร เดือน ๓ ขึ้น ๖ ค่ำ ปีระกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕ ล่วงมาจนกาลบัดนี้ มีพระชนมายุเจริญยิ่งขึ้นจนไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดในมหาจักรีบรมราชตระกูลนี้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ที่ยังดำรงอยู่ก็ดี จะได้มีพระชนมายุยืนยาวมาเสมอด้วยพระชนมายุสักพระองค์เดียว เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลพระบรมวงศานุวงศ์ทรงยินดีมีความเคารพนับถือยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
    อีกประการหนึ่งฝ่ายบรรพชิต บรรดาพระสงฆ์ซึ่งมีสมณะศักดิ์ในเวลานี้ ก็ไม่มีผู้ใดซึ่งจะมีพรรษาอายุเจริญยิ่งกว่าพระชนมายุแลพรรษา ก็ย่อมเป็นที่ยินดีเคารพนับถือยิ่งใหญ่ในสมณะมณฑลทั่วทุกสถาน
    อนึ่งแต่ก่อนมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานมหาสมณุตมาภิเศกฉด่พระนจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ก็ด้วยทรงพระราชปรารภพระชนมายุซึ่งเจริญยิ่งกว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง
    อีกประการหนึ่ง ด้วยการที่ทรงผนวชมาช้านาน ทรงคุณธรรมทางปฏิบัติในพระพุทธสาสนา แลได้เป็นครูอาจารย์แห่งราชตระกูลแลมหาชน เปนอันมากเปนที่ตั้ง ก็ถ้าจะเทียบแต่ด้วยคุณธรรมการปฏิบัติในทางพระพุทธสาสนาฤๅด้วยการที่ได้เป็นครูอาจารย์ของพระบรมวงศานุวงศ์แลมหาชนเปนอันมากนี้ก็พิเศษกว่า ด้วยได้ทรงเป็นพระอุปัธยาจารย์ในพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์มีเจ้าฟ้า แลพระองค์เจ้าต่างกรม แลพระองค์เจ้า จนตลอดข้าราชการเป็นอันมาก จนถึงในครั้งนี้ก็ยังได้ทรงเป็นพระอุปัธยาจารย์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งยังทรงผนวชเปนสามเณรอยู่ในบัดนี้ เพราะฉะนั้นบรรดาบรมราชตระกูลแลตระกูลทั้งปวง ทั้งในสมณะมณฑลทั่วทุกหมู่เหล่ายอมมีความเคารพนับถือในพระองค์ทั้งสองประการ คือเปนพระเจ้าบรมวงศ์ซึ่งทรงมีพระชนมายุเจริญยิ่งกว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวงแลทั้งเป็นพระอุปัธยาจารย์ด้วยอีกฝ่ายหนึ่ง จึงมีความนิยมยินดีที่จะใคร่ให้ได้ดำรงพระยศอันยิ่งใหญ่ เสมอกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส โดยรับมหาสมณุตมาภิเศกแลเลื่อนกรม เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมสมเด็จพระให้เต็มตามความยินดีเลื่อมใส จะได้เป็นที่เคารพสักการบูชา เป็นที่ชื่นชมยินดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อยแลอเนกนิกรมหาชนบรรดาซึ่งนับถือพระพุทธสาสนาทั่วหน้า
    จึงมีพระบรมราชโองการมาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาทโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการมหาสมณุตมาภิเศก แลเลื่อนพระอิศริยยศ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระ มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัตรว่า
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ บวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุตร ปฏิบัติสุทธิคณะนายก ธรรมนิติสาธกปวรัยบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชาปัญญาอรรค มหาสมณุดม บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนารถ มหาเสนานุรักษ์อนุราชวรางกูร ปรมินทรบดินทร์สูริย์หิโตปัธยาจารย์ มโหฬารเมตยาภิธยาไศรย ไตรปิฎกโหรกลาโกศล เบญจปดลเสวตรฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกฤษฐสมณศักดิธำรง มหาสงฆปรินายก พุทธสาสนดิลกโลกุตมมหาบัณฑิตย์ สุนทรวิจิตรปฏิภาณ ไวยัติยญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนไตรยคุณารักษ์ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิโลกยปฏิพัทธ พุทธบริสัษยเนตร สมณคณินทราธิเบศร์ สกลพุทธจักโรปการกิจ สฤษดิศุภการมหาปาโมกษประธานวโรดม บรมนารถบพิตร เสด็จสถิตย์ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระอารามหลวง (มุสิกนาม) ให้ทรงศักดินา ๑๕๐๐๐ ตามพระราชกำหนดอย่างพระองค์เจ้าต่างกรมตำแหน่งใหญ่ ในพระบรมมหาราชวัง แลดำรงพระยศฝ่าย สมณะศักดิ์เปนเจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ทั้งกรุงเทพ ฯ แลหัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขตร พระราชทานนิตยภัตรบูชาเดือนละ ๑๒ ตาลึง ขออาราธนาให้ทรงรับธุระพระพุทธสาสนาเปนภาระสั่งสอนช่วยระงับอธิกรณ์พระภิกษุสงฆ์สามเณรทั่วไปโดยสมควรแก่พระอิศริยยศสมณศักดิ จงทรงเจริญพระชนมายุพรรณศุขพลปฏิภาณคุณสารสมบัติสรรพศิริสวัสดิ พิพัฒมงคลวิบุลยศุภผลจิรฐิติกาลในพระพุทธสาสนาเทอญ ฯ

    <SUP>ขอขอบคุณข้อมูล
    LINK
    </SUP>
     
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลี
    สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงพระอัจฉริยภาพในหลายด้าน ซึ่งคนส่วนมากไม่ค่อยจะได้รู้จัก ประการแรก ทรงเป็นปราชญ์ ทางภาษาบาลีที่สำคัญพระองค์หนึ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีอยู่จำนวนไม่มากนัก ผลงานด้านภาษาบาลีที่สำคัญของพระองค์ก็คือพระนิพนธ์เรื่องสุคตวิทิตถิวิธาน ซึ่งทรงวิเคราะห์ และอธิบายเรื่องคืบพระสุคต พระนิพนธ์เรื่องนี้ ทรงพระนิพนธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๘ ในปลายรัชกาลที่ ๓ และได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในลังกา ในตอนต้นรัชกาลที่ ๕ สำหรับในประเทศไทยนั้น เพิ่งจะมารู้จักพระนิพนธ์เรื่องนี้เมื่อต้นรัชกาลที่ ๖ นอกจากพระนิพนธ์เรื่องนี้แล้ว พระองค์ยังทรงพระนิพนธ์เรื่องอื่นๆ เป็นภาษาบาลีไว้อีกหลายเรื่อง ส่วนพระนิพนธ์ในภาษาไทยก็ทรงไว้หลายเรื่องเช่นกัน ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม และทรงพระปรีชาสามารถทั้งในทางร้อยแก้วและร้อยกรอง ที่สำคัญ เช่น ลิลิตพงศาวดารเหนือ โครงพระราชประวัติในรัชกาลที่ ๔
    ทรงเป็นสถาปนิก
    พ.ศ. ๒๓๙๖ อันเป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริที่จะปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งองค์เดิมเป็นพระเจดีย์ขนาดย่อม ให้เป็นพระมหาเจดีย์สำหรับเป็นที่สักการบูชาของมหาชนสืบไทย จึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่ยังทรงเป็นกรมหมื่นออกแบบพระเจดีย์ และทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาฯ ถึงแก่พิราลัย ก็โปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เป็นผู้บัญชาการทำการปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ พระปฐมเจดีย์ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ จึงเป็นผลงานออกแบบของสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ <SUP>(๑๐)</SUP>
    ทรงเป็นนักโบราณคดี
    เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่ ได้เสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่างๆเป็นเหตุให้ทรงพบศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ และจารึกอื่นๆ ในเวลาต่อมาอีกมาก และพระองค์ทรงพยายามศึกษา จนสามารถทรงอ่านข้อความในจารึกดังกล่าวนั้นได้ซึ่งอำนวยประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติไทย อย่างมหาศาล สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ซึ่งทรงเป็นศิษย์ใกล้ชิดในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์หนึ่ง ก็ได้ทรงดำเนินรอยตาม เป็นเหตุให้ทรงเชี่ยวชาญในทางโบราณคดีพระองค์หนึ่งของไทยในยุคนั้น ทรงเป็นนักอ่านศิลาจารึกรุ่นแรกของไทย ได้ศึกษาและรวบรวมจารึกต่างๆ ในประเทศไทยไว้มากและได้ทรงอ่านจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ (อักษรขอม) เป็นพระองค์แรก <SUP>(๑๑)</SUP>
    ทรงเป็นนักประวัติศาสตร์
    นอกจากจะทรงสนพระทัยในการศึกษาทางโบราณคดีแล้ว สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ยังทรงสนพระทัยในเรื่องประวัติศาสตร์ด้วย ดังจะเห็นได้จากผลงานทางด้านประวัติศาสตร์ที่ทรงพระนิพนธ์ไว้หลายเรื่อง เช่น ลิลิตพงศาวดารเหนือ เรื่องพระปฐมเจดีย์ พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นต้น
    ทรงเป็นนักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์
    สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ทรงเป็นที่เลื่องลือว่าเชี่ยวชาญในทางโหราศาสตร์เป็นอันมากแต่ไม่ทรงนิยมการพยากรณ์ ในด้านดาราศาสตร์ก็ทรงเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงพระนิพนธ์ตำราปักขคณนา (คือตำราการคำนวณปฏิทินทางจันทรคติ) ไว้อย่างพิสดาร พระนิพนธ์อันเป็นผลงานของพระองค์ในด้านนี้ไม่ค่อยได้ตีพิมพ์ออกเผยแพร่คนทั่วไปจึงไม่ค่อยรู้จักพระอัจฉริยภาพ ของพระองค์ในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้มากนัก
    ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์
    สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ทรงบันทึกจำนวนฝนตกเป็นรายวันติดต่อกันเป็นเวลาถึง ๔๕ ปี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๓๘๙ ในรัชกาลที่ ๓ จนถึง พ.ศ. ๒๔๓๓ ในรัชกาลที่ ๕ เพื่อเป็นการเก็บสถิติน้ำฝนในประเทศไทย นับว่าทรงมีความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง ทรงเรียกบันทึกของพระองค์ว่า “จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน” และในจดหมายเหตุนี้ยังได้ทรงบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองที่สำคัญๆ ไว้ด้วย นับเป็นจดหมายเหตุทางประวัติที่มีค่ามากเรื่องหนึ่ง
    ทรงเป็นกวี
    สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ทรงพระนิพนธ์เรื่องราวต่างๆ ไว้มาก ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ในส่วนที่เป็นภาษาไทยนั้นทรงพระนิพนธ์เป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ไว้ก็จำนวนมาก เช่น โคลงพระราชประวัติรัชกาลที่ ๔ กาพย์เสด็จนครศรีธรรมราช ลิลิตพงศาวดารเหนือ เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นกวีนักอักษรศาสตร์ที่สำคัญพระองค์หนึ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์
    ทรงให้กำเนิดพระกริ่งในประเทศไทย
    เมื่อกล่าวถึงเรื่องพระกริ่ง คนส่วนมากก็คงจะเคยได้ยินเรื่องพระกริ่งปวเรศ ซึ่งนิยมนับถือกันว่าเป็นยอดแห่งพระกริ่งในสยามพระกริ่งปวเรศเป็นพุทธศิลป์ที่สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ได้ทรงพระดำริสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๕ นับเป็นการให้กำเนิดพระกริ่งขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และได้เป็นแบบอย่างให้มีการสร้างพระกริ่ง กันขึ้นในเวลาต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้
    พระอวสานกาล
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นที่เคารพนับถือของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ตลอดถึงพระบรมวงศานุวงศ์เป็นอันมาก ทรงเป็นที่ปรึกษาในกิจการบ้านเมืองที่สำคัญๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มาตลอดพระชนมชีพ ดังจะเห็นได้จากความในพระราชหัตถเลขาที่กราบทูลสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น บางตอนว่า “ทุกวันนี้หม่อมฉันเหมือนตัวคนเดียว ได้อาศัยอยู่แค่สมเด็จกรมพระกับสมเด็จเป็นที่พึ่งที่ปรึกษา เป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ขอให้ทรงพิเคราะห์การให้ละเอียดด้วย”
    ในบั้นปลายแห่งพระชนมชีพ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงประชวรต้อกระจก ในที่สุดพระเนตรมืด ครั้ง พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงประชวรพระโรคกลัดพระบังคนหนัก จัดเข้าในพระโรคชรา สิ้นพระชนม์เมื่อเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ สิริรวมพระชนมายุได้ ๘๓ พรรษา ทรงครองวัดบวรนิเวศเป็นเวลา ๔๑ ปี ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่เพียง ๑๑ เดือนเศษ ได้พระราชทานพระโกศกุดั่งใหญ่ทรงพระศพ
    พระศพสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ประดิษฐานอยู่ ณ พระตำหนักเดิม (คือที่เสด็จประทับ) วัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลาถึง ๘ ปี จึงได้พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๔๔๓
    ทรงสถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนาม
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะเมื่อทรงดำรงพระสมณฐานันดรเป็น สมเด็จพระมหาสังฆปริณายก ที่ สมเด็จพระสังฆราชนั้น ยังไม่มีคำนำพระนามที่บ่งบอกถึงพระเกียรติยศ ในทางสมณศักดิ์ คือเรียกพระนามไปตามพระอิศริยยศแห่งบรมราชวงศ์ว่า “พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมสมเด็จ พระยาปวเรศวริยาลงกรณ์” มาในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์” ในคราวเดียวกันกับที่ทรงสถาปนา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ จึงได้เรียกกันว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่นั้นเป็นต้นมา

    <SUP>ขอขอบคุณข้อมูล
    </SUP>
    <SUP>LINK</SUP>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คืนวันศุกร์ต่อวันเสาร์มาแนะนำของดีพระดีมาให้ชมกันเป็นประจำครับ คราวนี้มาถึงหลวงปู่ขาวกับเหรียญรุ่น "ทรัพย์สิน" ซึ่งเป็นเหรียญราคาเบา ผมเคยได้ในเวบนี้ เหรียญละแค่ 350.-เอง แต่พลังบารมีท่านสุดยอดมากๆ ครับ ลองมาอ่านกันยาวๆ ดูก็แล้วกัน และถ้าเจอเหรียญรุ่นนี้ก็อย่าลืมเก็บก็แล้วกัน เห็นบางคนบอกว่ามีแล้วรวยเหมือนชื่อรุ่นจริง...(รออยู่เหมือนกัน)

    [​IMG]


    หลวงปู่ขาว อนาลโย

    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->
    หนังสือ “อนาลโยวาท” อันเป็นหนังสือรวมคำสั่งสอนของหลวงปู่ขาว
    นั้นมีค่าที่สุด และที่หาอ่านได้ยากคือ ภาคผนวก
    ที่เขียนเป็นบทส่งท้ายโดยท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อวย ผู้ล่วงลับไปแล้ว
    จากการที่พี่หมออวยได้ใกล้ชิดกับหลวงปู่เป็นพิเศษเนื่องจากเป็น
    “หมอประจำพระอาจารย์ขาว” ท่านจึงมี
    เรื่องของหลวงปู่ขาวที่ยังไม่มีใครทราบอยู่หลายเรื่องมาเล่าให้ฟัง
    ดังจะขอถ่ายทอดแก่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

    พี่หมออวย (ขอเขียนตามสรรพนามที่ผู้เขียนเรียกท่าน) กับคณะได้เดินทางไปศึกษา
    “ชีวิตพระป่า “เมื่อ พ.ศ. 2505 และได้มีโอกาสไปนมัสการหลวงปู่ขาว ที่วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี
    โดยคำแนะของ คุณสิรี อึ้งตระกูล แล้วได้ฟังเทศน์เป็นธรรมะสั้น ๆ จากหลวงปู่
    แต่เพราะท่านพูดคำพื้นเมืองเป็นส่วนมาก พี่หมอกับคณะ จึงฟังออกบ้างไม่ออกบ้างในครั้งแรก

    หลังจากนั้น ถ้าพี่หมอไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดก็จะต้องเลยไปนมัสการหลวงปู่ขาวด้วยทุกครั้ง
    และท่าน เทศน์โปรดพี่หมอกับคณะทุกครั้ง จนกระทั่งถึง พ.ศ.2509 พี่หมอกับคณะไปทอดกฐินที่
    วัดหนองแซงของพระ อาจารย์บัว
    โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมจินดาภรณ์ (สมณศักดิ์ในสมัยนั้น) ร่วมไปด้วย
    ท่านเจ้าคุณท่านอยากไป นมัสการหลวงปู่ขาวเพราะยังไม่เคยพบ
    จึงขอให้พี่หมอพาไปวัดถ้ำกลองเพล พี่หมอก็ตกลงไป ภายหลังที่ ทอดกฐินแล้ว
    ทั้งนี้มีสุภาพสตรีชาวอังกฤษผู้หนึ่งอยู่ในคณะ

    ในระหว่างเดินทาง พี่หมอได้กราบเรียนท่านเจ้าคุณว่า

    “ท่านอาจารย์ท่านมีเมตตามาก เราไปนมัสการท่านที่ไรท่านก็เทศน์ให้ฟังทุกครั้ง
    เสียแต่ท่านพูดภาษาอีสาน พวกเรา ฟังไม่ใคร่ออก”

    พอคณะของพี่หมอไปถึง กราบเรียนเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเทศน์เป็นภาษาไทยกลางอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    ท่านเริ่มต้นว่า

    “โดยทำนองเดียวกับที่รอยเท้าของบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้อาจจะรวมลงไปในรอง
    เท้าของช้าง
    พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ก็อาจรวมลงได้ในธรรมข้อเดียวคือ สติ! “

    พี่หมออวยเล่าในหนังสือ “อนาลโยวาท” ว่าตัวพี่หมอเองถึงน้ำตาไหล
    ด้วยความปิติในความกระจ่ายแจ้งของ ธรรมะที่หลวงปู่แสดงในวันนั้น
    และที่น่าประหลาดก็คือ สุภาพสตรีชาวอังกฤษซึ่งเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้ 6 สัปดาห์
    ก็พลอยเข้าใจในคำเทศน์ของ หลวงปู่

    ครั้งหนึ่งพี่หมอไปเยี่ยมหลวงปู่ตามปกติ โดยเข้าทางหลังกุฏิเผอิญเห็นถังน้ำมัน 200 ลิตร
    ถังหนึ่งตั้งอยู่ริม กำแพงในสภาพบุบบิบ มีตัวหนังสือเขียนด้วยสีขาวว่า
    “ถังช้างเหยียบ” พี่หมอสงสัยเที่ยวสอบถามพระเณรดู ได้ความว่า

    ก่อนหน้านี้ไม่เท่าไหร่ หลวงปู่ขาวท่านระลึกถึงช้างพลายใหญ่เชือกหนึ่ง
    ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าโขลงช้างอยู่ใน ป่าหลังเขาเคยเข้ามาเที่ยวในวัดประจำ
    หลวงปู่ว่าท่านคุ้นเคยกับช้างเชือกนั้น แต่ตอนหลังนี้ห่างไป ไม่ได้มาให้ เห็นอีก

    ค่ำวันหนึ่งหลวงปู่ปรารภดัง ๆ ว่า ช้างของเราหายไปไหนนะ
    ไม่เห็นมานานแล้ว จะถูกใครเขาฆ่าตายเสียแล้วกระ มั้ง
    ตกดึกคืนนั้นหลวงปู่ก็ต้องตกใจตื่น เพราะกุฏิคลอน
    และมีเสียงใครเอาอะไรมาถูเสียดสีที่ข้างฝา ท่านร้องถามออกไปว่าใคร
    ก็ไม่มีเสียงตอบ แล้วอะไรก็เงียบไป
    พอตื่นเข้ามีผู้เห็นถังน้ำมันใบนั้นตั้งอยู่ใกล้กุฏิในสภาพ บุบบู้บี้ ก็รู้กันว่าในตอนดึก
    “ช้างหลวงปู่” ได้มารายงานตัวให้ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่
    และเอาสีข้างถูผนังกุฏิ ให้รู้ว่ามา พร้อมทั้งเหยียบถังน้ำมันทิ้งไว้เป็นที่ระลึกด้วย

    พี่หมอเล่าว่า หลวงปู่มีบารมีพิเศษเกี่ยวกับช้าง ในชีวประวัติของท่าน
    มีเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างท่านธุดงค์ไปกับ ท่านพระอาจารย์มั่นและสหธรรมิกบางรูป
    ในดินแดนของจังหวัดเชียงใหม่ ขณะไปถึงทางเลียบไหล่เขาแห่งหนึ่ง
    บังเอิญพบช้างใหญ่ขวางอยู่ ท่านพระอาจารย์มั่นคงจะมีญาณทราบคุณธรรมอันพิเศษของหลวงปู่เกี่ยว
    กับช้าง จึงส่ง “ท่านขาว” ไปเจรจาขอทาง

    หลวงปู่จึงเดินไปใกล้ช้างแล้วพูดเรียบ ๆ ว่า

    “อ้าย อ้ายตัวใหญ่โต ข้อยตัวเล็กน้อย พวกข้อยจะพากันไปปฏิบัติธรรม แต่ข้อยกลัว ขออ้ายเปิดทางให้ด้วย เถิด”

    ช้างเชือกนั้นฟังแล้วก็หัวหน้าซุกกับก้อนหิน เปิดทางให้ผ่านแต่โดยดี

    ผู้ ที่ทราบเรื่องนี้ เชื่อกันว่าในชาติหนึ่งหลวงปู่เคยเป็นช้างชั้นผู้ใหญ่มาก่อน พระเณรที่วัดถ้ำกลองเพลบอกว่า หลวงปู่สามารถจะเรียกข้างมาได้ถ้าท่านต้องการ

    คราวหนึ่ง มีคณะสุภาพสตรีจากกรุงเทพฯ ไปแวะนมัสการ และนำร่ม 6 คัน ถวายหลวงปู่
    ท่านรับประเคนแล้ว พูดหัวเราะ ๆ ว่า

    “ของเหลือมาซีนะ”

    คณะทายิกาสะดุ้งไปตาม ๆ กัน ทำไมหลวงปู่รู้ว่าเป็นของเหลือ
    เพราะความจริงคณะได้ตระเวนไปตามวัดกรรม ฐานมาแล้วหลายวัน
    และถวายร่มวัดละ 12 คัน มาถึงวัดถ้ำกลองเพลยังเหลืออยู่เพียง 6 คัน
    จึงถวายท่าน เป็น ของเหลือจริง ๆ

    วันหนึ่งมีชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เป็นคนวัยฉกรรจ์
    ขอเข้านมัสการหลวงปู่ พอได้พบก็ตรงเข้าไปกราบที่เท้า
    แล้วเอ่ยปากขอบพระคุณท่านที่ช่วยเขาให้พ้นจากโทษมหันต์ ทุกคนงงงันไปหมด
    เพราะไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นมา ก่อน แต่หลวงปู่นั่งฟังโดยดุษฎีภาพ
    ชายผู้นั้นเล่าว่า เขาเป็นทหารไปรบที่ประเทศลาวอยู่นาน พอกลับบ้าน
    รู้เรื่องภรรยานอกใจ ก็เตรียมปืนจะไปยิงให้ตายทั้งชายชู้ด้วย
    ได้ไปแวะร้านเหล้าดื่มจนเมาหลับไป แล้วฝันว่า
    มีพระแก่รูปหนึ่งมาขอบิณฑบาตความอาฆาตโกรธแค้น
    และเทศนาให้ฟังถึงบาปกรรมของการฆ่า เขาตาย จนชายคนนั้นยอมยกความพยาบาทให้
    และถามพระเถระนั้นว่าท่านชื่อว่าอะไร มาจากไหน
    พระบอกว่า “เราชื่อ ขาว มาแต่เมืองอุดรฯ”
    พอตื่น ชายคนนั้นก็ตัดสินใจออกเดินทางเสาะหาหลวงปู่จน
    ได้พบวัด หลวงปู่ฟังจบแล้วอนุโมทนา และอบรมต่อไป
    จนชายผู้นั้นเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรม จนตัดสินใจออก บวชในเวลาต่อมา<!--colorc-->
    <!--/colorc-->

    คัดจากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต

    [​IMG][​IMG][​IMG]


    หลวงปู่ขาว รุ่นทรัพย์สิน

    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->วัตถุประสงค์การสร้างวัตถุมงคล
    เหรียญพระรูปหลวงปู่ขาว อนาลโย รศ.196

    ด้วย พนักงานสนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และประชาชนผู้เช่าสำนักงาน รวมทั้งอีกหลายฝ่ายหลายท่านที่ร่วมงานได้มีปณิธานแรงกล้า ที่จะร่วมกันจัดหาทุนทรัพย์ขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อเสด็จพระราชกุศลสมทบ มูลนิธิสายใจไ
    ทย และ สืบเนื่องมาจากความสำเร็จในการจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่แหวน สุจิณโณ รุ่นทูลเกล้าฯ จศ.1338 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2519 มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมกับสำนักงานฯ เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลสมทบมูลนิธิสายใจไทย ด้วยเวลาเพียง 1 เดือนเศษ มีพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธามาขอบูชาอย่างล้นพ้นและวัตถุมงคลนั้นหมดลง ด้วยเวลาอ
    ันรวดเร็ว อันเนื่องจากปรากฏการณ์ทางอานุภาพของพุทธคุณอย่างอเนกประสงค์แก่ผู้ได้ไปบูชา
    ด้วย เหตุดังกล่าวจึงมีประชาชนจำนวนมากเรียกร้องขอให้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาสร้างวัตถุมงคลขึ้นอีก เพื่อสนองความศรัทธาของประชาชนและผู้แสวงหาวัตถุที่พร้อมด้วยพุทธคุณ คณะกรรมการฯ ได้ประชุมทบทวนและคัดเลือกปรมาจารย์ที่อาวุโสและมีพระพุทธคุณสูงประชาชนยอม รับแล้วใน
    ปัจจุบัน มีมติเห็นพ้องต้องกันว่า ในบรรดาพระสงฆ์สาวกผู้ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบั
    นนี้ ซึ่งมีความเพียรไม่ท้อถอย ดำรงอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติ มีข้อกิจวัตรเคร่งครัด ไม่ย่อหย่อนผ่อนตามวัยของสังขาร ปฏิบัติธรรมอยู่เฉพาะในสถานที่เงียบสงบ ห่างไกลฝูงชน เพื่อมุ่งบำเพ็ญเพียรทางจิต ให้ได้รับความสงบสุขภายในยิ่งๆขึ้น พระอาจารย์กรรมฐานที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ที่สำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต รูปหนึ่งซึ่งมีอายุมากถึง 92 ปี แต่ยังมีความเพียรปฏิบัติกรรมฐานอย่างเยี่ยมยอดในวงการพระกรรมฐานด้วยกัน ยากที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือนได้ในปัจจุบันนี้ ท่านรูปนั้นคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล หนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่ขาว ท่านเป็นปรมาจารย์ ควรที่จะได้พระพุทธคุณขององค์ท่านมาไว้บูชาเป็นที่พึ่ง อันอาจจะนำมาซึ่งความสุข ความสำเร็จ จากเหตุดังกล่าว คณะกรรมการฯซึ่งได้รับความเอื้อเฟื้อจากหัวหน้าฝ่ายตำแหน่งและบรรจุแต่งตั้ง กองการเจ้าหน้าที่ สนง.ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ คณะเจ้าหน้าที่สนง.ศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี ได้พาไปกราบนมัสการต่อหลวงปู่ขาวและพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ปรมาจารย์ที่สำคัญยิ่งอีกองค์หนึ่งของ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ศิษย์เอกของพระอาจารย์มั่น เพื่อเรียนรายละเอียดถึงวัตถุประสงค์ ขอสร้างเหรียญพระรูปเหมือนหลวงปู่ขาว มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบมูลนิธิสายใจไทย ปรากฏว่า พระคุณท่านทั้ง 2 องค์ ได้เต็มใจร่วมงานการกุศลครั้งนี้ด้วย จึงได้บริกรรมภาวนา ลงอักขระ เลขยันต์ และ ประจุพระพุทธคุณให้ครบถ้วนลงในแผ่นนวโลหะเพื่อนำมาเป็นทองชนวน และ นอกจากนี้คณะกรรมการฯยังได้เดินทางไปกราบนมัสการพระคณาจารย์ที่มีพลัง พุทธคุณสูงอีกห
    ลายจังหวัด เพื่อขออาราธนาให้ลงอักขระเลขยันต์ และ ประจุพระพุทธคุณเพื่อได้นำมารวมกับนวโลหะชุดเดิม ซึ่งมีพลังอานุภาพพระพุทธคุณแรงกล้ายิ่งนัก รวมทั้งหมดเป็น 29 องค์ ซึ่งพระคณาจารย์แต่ละองค์เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่สาธุชนและนอกจากนี้ ท่านประธานคณะกรรมการฯ ได้นำความกราบบังคมทูล ขอพระบรมราชานุญาตอัญเชิญลายเซ็นพระนามาภิไธยของสมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาเจ้าฟ้ามหาจักรี สิรินธรฯสยามบรมราชกุมารี จารึกลงในเหรียญหลวงปู่ขาวอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้เกิดศิริสวัสดิ์พิพัฒมงคลแก่ผู้บูชา จึงนับว่าเป็นบุญบารมีอย่างสูงของผู้ที่ได้เหรียญรุ่นนี้มาบูชา


    วัตถุมงคลที่จัดสร้างประกอบด้วย เนื้อทองคำและเนื้อนวโลหะ มี 2 พิมพ์คือพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก
    รายนามพระคณาจารย์ที่ได้โปรดลงอักขระเลขยันต์และประจุพระพุทธคุณ
    เจริญบริกรรมภาวนาแผ่เมตตา(นั่งปรก) ลงในแผ่นนวโลหะ (เริ่มตั้งแต่ พศ.2519-2521)

    1. สมเด็จพระสังฆราชพระอริยวงศาตญาณ วัดราชบพิตร
    2. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศ
    3. หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
    4. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
    5. หลวงปู่เปลื่อง วัดสุวรรณภูมิ สุพรรณบุรี
    6. หลวงปู่อินทโชโตมหาเถร วัดยาง เพชรบุรี
    7. หลวงปู่ธูป วัดสุนทรธรรมทาน
    8. หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว นครปฐม
    9. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    10. หลวงปู่ใหญ่ วัดสะแก
    11. หลวงพ่อไพฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิต
    12. หลวงพ่อเทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง
    13. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์
    14. หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะอง
    15. หลวงพ่อเต๋ วัดคงทอง
    16. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร
    17. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โกร่งธนู
    18. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช
    19. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    20. หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
    21. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    22. หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    23. หลวงพ่อเชย วัดเกาะลอยเอกอุดมธาราราม
    24. หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    25. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
    26. หลวงพ่อบุญ วัดวังมะนาว
    27. หลวงพ่อเชื้อ วัดใหญ่บำเพ็ญบุญ
    28. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    29. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม

    และได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบวรนิเวศอีกเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรากฎาคม 2521


    ขอขอบคุณและหากอยากเข้าไปดูวัตถุมงคลบางชิ้นเพิ่มเติมไปตามนี้ครับ

    ��ǧ����� ͹���� - �ǹ��ѧ�ͷ���


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2009
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทีนี้มาดูธรรมะของท่านบ้าง ยาวหน่อยแต่มีประโยชน์บันทึกไว้ใน my document ยามว่างค่อยเอามาอ่านก็ไม่เสียหลาย หรือเลือกอ่านทีละข้อๆ ละเมียดละมัยไป ก็จะเป็นกุศล แก่ตนเอง อัฐธาตุของท่านที่วัดถ้ำกองเพล สวยมาก บางองค์ดั่งพลอยสีม่วง งดงามสุดบรรยาย นี่ล่ะหนอพระแท้ "อรหันต์นะมามิ"

    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC][​IMG][/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC] พระธาตุหลวงปู่ขาว อนาลโย[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC] วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี[/FONT]
    (ข้อมูลภาพจากเวบวันสันติธรรม)

    อนาลโยวาทะ
    ธรรโมวาทของหลวงปู่ขาว อนาลโย
    วัดถ้ากลองเพล อุดรธานี


    ๑. พระพุทธเจ้าว่าเราเป็นผู้แนะนำสั่งสอนทาง ทางออกจากโลกก็ดี ทางไปสวรรค์ก็ดี ทางไปนิพพานก็ดี เราตถาคตเป็นผู้แนะนำสั่งสอนให้เท่านั้นแหละ ตนนั่นแหละ พวกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายต้องทำเอาเอง แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระสาวกทั้งหลายก็ทำเอาเองทั้งนั้น ตนและทำให้ตน ตนจะออกจากโลกก็แม่นตนตั้งอกตั้งใจทำใส่ตน ตนจะติดอยู่ในโลกก็แม่นใจของตนมาอยากไป เพราะหลงตนหลงตัว

    ๒. ธรรมทั้งหลาย จะทำดีทำกุศลก็ใจนี่แหละเป็นผู้ถึงก่อน เป็นผู้ถึงพร้อม จะทำบาปอกุศลก็ใจนี่แหละ จะผ่องแผ้วแจ่มใสเบิกบานก็ใจนี่แหละ จะเศร้าหมองขุ่นมัว ก็ใจนี่แหละ ใจเศร้าหมองขุ่นมัวแล้วก็ไม่มีความสุขอยู่ในโลก จะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ครั้นใจผ่องแผ้วละก็ พระพุทธเจ้าท่านว่า มนะสาเจปนะสันเนนะ บุคคลผู้มีใจผ่องแผ้วดีแล้ว แม้จะพูดอยู่ก็มีความสุข แม้จะทำอยู่ก็มีความสุข ตโตนะ สุขะมัธเนวติ อยู่ที่ไหน ๆ ก็มีความสุข มีความสุขเหมือนเงาเทียมตนไป

    ๓. ทุกข์เป็นของจริงอันประเสริฐ มันมาจากไหน ค้นขึ้นไปซิ เห็นแต่ว่ามาจากโง่นั่นแหละ ดวงจิตเป็นผู้โง่ มันจึงต้องเป็น ต้องเดือนร้อน มันจึงใคร่ มันจึงปรารถนา มันจึงอยากเป็นนั่นเป็นนี่ มันไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่เพราะเกลียด เพราะชัง มันชังมันก็ไม่อยากเป็น แล้วก็หาของมาแก้ไข หาคิดอีหยังมาทา หนังเหี่ยวก็เอามาทา ลอกหนังออก มันได้กี่วัน มันก็เหี่ยวอย่างเก่า

    ๔. อวิชชา (เป็นเหตุ) ให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ท่านว่าให้ดับความโง่อันเดียวเท่านั้น ผลดับหมด เพราะธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลาย ดีก็ดี ชั่วก็ดี ไหลมาแต่เหตุ คือความโง่ ความไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นตัวเป็นตน ก็ได้รับผลเป็นสุข เป็นทุกข์สืบไป ท่านเรียกว่า วัฏฏะ การวน วนไม่มีที่สิ้นสุด

    ๕. จิตเมื่อทำความชั่วไว้แล้วมันก็ไม่ลืม ใครไม่ต้องการสักคนหมดทั้งนั้นความชั่วบาปกรรม ให้คิดดู นักโทษเขาลักเขาปล้นสะดมแล้ว เขาก็หลบหนีไปซ่อนอยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำตามดง เพราะเขาไม่ปรารถนาจะให้พวกตำรวจไปจับเขา อันนั้นมันก็ไม่พ้นดอก บาปน่ะ

    ๖. นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เห็นรูปมากระทบตา เกิดวิญญาณขึ้นที่นี่ เสียงมากระทบหู เกิดวิญญาณขึ้นที่นี่อีก (ถ้า) รูปดี ก็เกิดความยินดี ชอบใจ เป็นสุขเสทนา อยากได้ (ถ้า) รูปไม่ดี เกลียดชัง เกิดทุกขเวทนา ไม่อยากได้ ก็เป็นทุกขเวทนาขึ้น ตัณหาเกิดขึ้น…..เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ของตน ตัวของกู กูไปอยู่ที่โน่น ก็ไปอยู่ที่นี่ กูเป็นพระ กูเป็นเณร เมื่อมีอุปาทาน ……ก็เป็นเหตุให้อยาก……เป็นเหตุให้เกิดภพ คือกามเทพ รูปภพ อรูปภพ เกิดภพแล้วเป็นเหตุให้เกิดชาติ เกิดชาติเป็นเหตุให้เกิดชรา มรณะ เกิดโสกะ ประเทวะ ทุกขโทมนัสอุปายาส ความคับแค้นอัดอั้นตันใจอยู่ในสังขารจักร นี่แหละ (ถ้า) ดับความโง่อันเดียวเท่านั้นแหละ ผลไม่มี ดับเหตุแล้ว ผลก็ดับไปตามกัน

    ๗. กุลบุตรผู้รักษาศีล ถึงพร้อมด้วยศีลบริบูรณ์แล้ว ย่อมมีความสุข แม้จะเข้าไปคบหาษมาคมกับบริษัทใด ๆ ก็ตาม บริษัทกษัตริย์ก็ตาม บริษัทคหบดีก็ตาม บริษัทสมณพราหมณ์ก็ตาม เป็นผู้องอาจกล้าหาญ ไม่มีความครั่นคร้ามต่อผู้คน เพราะคิดว่าเราบริสุทธิ์ดีแล้ว ถึงไม่มีความรู้ก็ตาม ไม่คิดกลัวว่าคนอื่นเขาจะมาโทษเราว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่คิดอย่างนั้น ไม่กลัว แล้วก็เป็นที่รักของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นที่รักแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยกัน คนผู้มีศีลดีแล้วย่อมใจเย็น จิตมันหยั่งเข้าไปถึงกัน

    ๘. พระพุทธเจ้าว่าธรรมะไม่อยู่ที่อื่น อยู่ที่สกนธ์กายของทุกคน …..ดูจิตใจของตนนี้ให้มันเห็นความจริงของมัน พระพุทธเจ้าว่า …..สกนธ์กายของเรานี้มันเป็นทุกข์ …สกนธ์กายนี้ไม่เที่ยง …ก้อนอันนี้ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ….มันอยากจะเป็นไปอย่างใด ก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน กิริยาของมัน มันไม่ฟังคำเรา ….อยากแก่ มันก็แก่ไป อยากเจ็บ มันก็เจ็บไป อยากตาย มันก็ตายไป ….ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่ของใคร ให้พิจารณาดูให้เห็นเป็นก้อนธรรม มันไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใครทั้งนั้น มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนัตตา ตกอยู่ในไตรลักษณ์ …เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็สมมติทั้งนั้น

    ๙. ให้พากันตั้งใจ วันหนึ่ง ๆ เราจะนั่งภาวนา นั่งภาวนาก็ให้นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติ อย่าปล่อยใจ ให้ตั้งสติอยู่กับใจ ให้เอาพุทโธเป็นอารมณ์ ทีแรกว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ, พุทโธ ธัมโม สังโฆ,พุทโธ ธัมโม สังโฆ,” สามหนแล้ว จึงเอาแต่พุทโธอันเดียว ทำงานอะไรอยู่ก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกทำได้ทุกอิริยาบถ ได้ทั้งสี่อิริยาบถ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นั่งก็ได้ นอนก็ได้หมด นอนไม่เป็นท่าดอก เอนลงไปเดี๋ยวก็ “เอาสักงีบเถอะ” เดินนั่นแหละดี นั่งกับยืนก็ได้ ได้ทั้งสี่อิริยาบถ พากันทำเอา ความมีอัตตภาพ นี่มันเป็นทรัพย์ภายนอก เงินทองแก้วแหวน บ้านช่องเรือนชานต่าง ๆ ที่หามาได้ ก็เป็นทรัพย์ภายนอก ติดตามเราไปไม่ได้ดอก เมื่อตายแล้วก็ทิ้งไว้ กายอันนี้เมื่อตายแล้ว ก็นอนทับถมแผ่นดินอยู่ไม่มีผู้ใดเก็บ

    ๑๐. ถ้ามีสติกำหนดเข้ามา จะรู้ทุกเวลาว่าจิตของเรามีราคะไหม หรือหายแล้วไม่มี ก็จะรู้จำเพาะตนนี้ ดูโทสะ มีอยู่หรือหายโทสะแล้ว ดูโมหะ ความโง่เขลาความหลง ยังมีอยู่ก็จะรู้ หรือจิตของเรามันหายโทสะหายโมหะแล้วก็จะรู้ พระพุทธองค์จึงให้พิจารณาเข้ามาให้เห็น เห็นอันนี้เรียกว่าเห็นธรรม จิตของตนเป็นอย่างไร จิตของตนเป็นกุศล มีเมตตา มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ หรือมันยังมีราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำอยู่ก็จะรู้ แล้วจะได้แก้ไขตัวมัน รีบปลดเปลื้องออกไป รีบเร่งทำความเพียร ขับไล่สิ่งที่เศร้าหมอง คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ออกไป ให้มันเบาบางไป ออกจากขันธสันดาน ดวงจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องทำให้คนบริสุทธิ์ ทำให้คนมีสิริ มีโภคทรัพย์ ก็เพราะคนเป็นผู้ทำความดี มีศีล ศีลที่บริบูรณ์แล้วย่อมเป็นที่มาแห่งโภคทรัพย์

    ๑๑. ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ของตน ว่าตัวของกู กูไปอยู่ที่โน่น กูไปอยู่ที่นี่ กูเป็นพระ กูเป็นเณร อุปาทาน เมื่อมีอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นเหตุให้อยากนั่นแหละ เป็นเหตุให้เกิดภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เกิดภพแล้วเป็นเหตุให้เกิดชาติ เกิดชาติ ก็เป็นเหตุให้เกิดชรา มรณะ เกิดโสกปริเทวทุกข โทมนัสสุปายาสา ความคับแค้นอัดอั้นตันใจ อยู่ในสังสารจักร นี่แล ตับความโง่อันเดียวเท่านั้นและ ผลไม่มี ตับเหตุแล้ว ผลก็ดับไปตามกัน ผล (ที่กล่าวนี้) คือได้รับความทุกข์ ความสุขไม่มี (ดับ) คือดับอวิชชาความโง่ นั่นแหละตัวเหตุตัวปัจจัย

    ๑๒. เราอย่าหมั่นขยันแต่ทำบาป ให้ขยันแต่ทำดี ทำความบริสุทธิ์ ทำบุญทำกุศลนี้ ให้หมั่นทางนี้ บาปด่ากัน บาปมันขึ้นมาหน้าแดง เรานี้เฮ็ด (ทำ) บาป คือขยันแท้ ไปขยันใส่บาป ครั้นรู้จักว่าบาปก็บ่ขยันแล้ว จึงว่าให้กลัวบาป คำเถียงกันด่ากัน ทะเลาะวิวาทเบียดเบียนกัน เป็นบาป อย่าไปขันใส่มัน ให้หลีกไปไกล ให้เอาใจเว้น อย่าเอาใจใส่ ครั้นเว้นแล้วมันก็บ่มีความเดือดร้อน ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม เราบ่ว่าใส่เขาดอก เขาติฉินนินทาเขาก็ว่าใส่เขาเอง ปากของเขาก็อยู่ที่เขา หูเขามันก็อยู่ที่เขา

    ๑๓. อัตตภาพเป็นของกลาง ….ไม่ใช่ของใครทั้งหมด ก้อนใครก้อนเรา เป็นของได้มาอันบริสุทธิ์ เกิดมาชาตินี้ก็เป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์ พ้นจากใบ้บ้าบอดหนวก เสียจริต มีร่างกายตาหูจมูกลิ้นกายใจสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว เราก็ควรพากันพิจารณาว่า เราเกิดมาชาตินี้ได้สมบัติอันสมบูรณ์แล้ว เราต้องเอามันทำประโยชน์เสีย เอากะในเสีย อย่าไปปล่อยให้มันแก่ขึ้นตายขึ้นซื่อ ๆ สมบัติอันนี้เป็นแต่ภายนอกเอานำมันเสีย เอาทรัพย์ภายใน เอาอริยทรัพย์ ทรัพย์อันติดตามตนไปได้ ทรัพย์สมบัติที่เราแสวงหาอยู่ในชาตินี้ ได้เป็นมหาเศรษฐีได้เป็นอิหยังก็ตาม เป็นของกลางหมด เป็นทรัพย์ภายนอกที่เราได้อาศัยมันชั่วชีวิตนี้เท่านั้น ครั้นขาดลมหายใจแล้ว สมบัตินี้ก็เป็นสมบัติของโลก อัตตภาพร่างกายนี้ก็เป็นสมบัติของโลก มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ

    ๑๔. ประโยชน์ตนคือทำความเพียร คือทำจิตให้สงบ เป็นสมาธิ จิตมันดีแล้วให้มันสงบเป็นสมาธิ ครั้นมันเป็นสมาธิแล้ว ทำให้มันแน่วแน่มีอารมณ์อันเดียวแล้ว ก็จิตนั่นแหละ มันจะเป็นดวงปัญญาขึ้นมา มันจะส่องแสง มันมีกระแสจิตพุ่งออกมา พิจารณากายอีก ซ้ำอีก มันก็จะเห็นชัด ครั้นมันสงบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ให้พิจารณาสัจของจริงทั้งสี่ สัจธรรมของจริง ของจริงของดีพระพุทธเจ้า ของพระสาวกผู้ได้ยินได้ฟังแล้วเห็นจริงอย่างนั้น จริงอย่างไร ดีอย่างไร ดีเพราะว่าเหมือนดังพระสาวก ท่านทั้งหลายเบื้องต้นก็เป็นปุถุชนนี่แหละ เมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พิจารณาตามเห็นตาม เห็นแล้วเกิดนิพพิทาในเบญจขันธ์ว่า มันไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงของใช้ ไม่ใช่ของเรา นี่แหละเห็นจริงชัดแล้ว ก็ละถอนปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้ปุถุชนเป็นพระอริยเจ้าได้ จึงว่าของจริง

    ๑๕. ตัณหาว่าความใคร่ ความใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มันเป็นตัณหา ครั้นดิ้นรนอยากมาได้แล้วก็อยากเป็น ทีนี้มันเป็นตัณหาขึ้น อยากเป็นคืออย่าง(อยาก ?) เป็นอินทร์เป็นพรหม เป็นจักรพรรดิ เป็นเศรษฐีคหบดี อยากเป็นเพราะตัณหา มีตัณหาสาม ความใคร่เรียกว่ากามตัณหา ความดิ้นรนอยากได้เป็นภวตัณหา วิภวตัณหาคือความไม่อยากเป็น ไม่อยากมี เหมือนผมหงอก ฟันหัก ร่างกายหดเหี่ยวตามืดตามัว ความแก่ไม่อยากเป็น อารมณ์ที่ไม่ชอบก็ไม่อยากพบไม่อยากเห็น ไม่อยากเป็น นี่เรียกว่าวิภวตัณหา มีความขัดเคือง ตัณหานี่เป็นเหตุให้จิตใจเกิดทุกข์ เพราะเหตุฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้พิจารณาให้เห็นทุกข์เสียก่อน อันใดเป็นทุกข์ อัตตภาพรางกายทั้งหมดทั้งก้อนนี้เป็นทุกข์ ทุกข์มาจากความเกิด

    ๑๖. ธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ อะไรเป็นตัวเหตุ ตัวเหตุคืออวิชชา ความโง่นั่นแหละมันไหลมา อะไรเป็นอวิชชา จิตโง่นั่นแหละเป็นอวิชชา อะไรเป็นสนิมของอวิชชา มันนั่นแหละเป็นสนิมของมันเอง เหมือนกันกับเหล็ก เหมือนกันกับดาบและมีด ครั้นไม่ลับมันอยู่นาน ๆ ใครเอามาใส่ สนิมน่ะ มันก็เกิดขึ้นของมันเอง มันขนเอามาเอง หมักหมมทำให้เกิดสนิมจนว่าจิตดำจิตมืดน่ะ มันเองแหละเป็นสนิมของมัน เมื่อทำสนิมให้มันออกจากดวงจิตนี่แล้ว จิตตัง ทันตัง สุขสวะหัง ให้เป็นผู้หมั่นพยายามหัดทรมานสั่งสอนมัน อย่าไปปล่อยตามใจมัน (ให้) มีความรู้เท่ามัน อย่าไปตามใจมัน หัดให้มันอยู่ในอำนาจของสติ สติควบคุม ขัดไปขัดมามันก็ขาวหรอก … จิตผ่องแผ้วดีแล้ว จะพูดอยู่ก็ตามมีความสุขทั้งนั้น จะทำการทำงานอยู่ก็มีความสุขทั้งนั้น

    ๑๗. ธรรมทั้งหลายก็อยู่ที่นี่แหละ อยู่ที่สกนธ์กายของเรา ไม่ต้องไปหาเอาที่อื่นดอก มีครบบริบูรณ์หมด สติปัฏฐานทั้งสี่ก็แม่น เราควรทำเอา ท่านให้พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต ให้พิจารณาธรรม ๔ อย่าง แล้วพิจารณาอันใดอันหนึ่งเท่านั้นแหละ ไม่เอาหมดทุกอย่างดอก สัมมัปปธานสี่ ก็มี เพียนละบาป ให้เพียรบำเพ็ญบุญ สัมมัปปธานสี่ มีว่า ปหานปธาน ประหารบาป ละบาป บาปปรากฏขึ้นที่จิตนี่แหละไม่เกิดจากที่อื่น เพราะจิตไปรวบรวมอารมณ์เอาภายนอก อารมณ์ภายนอกก็หมายเอาห้าอย่าง รูปเสียงกลิ่นรส เครื่องสัมผัส มันไปรวบรวมเอามาปรุงมาคิด พิจารณากาย มันก็ไปถูกเวทนานั่นแหละ ครั้นจะพิจารณาจิตมันก็ไปถูกธรรม จิตมันเกิดขึ้นกับใจเรียกว่าธรรมารมณ์ สี่อย่างนี้ ธรรมารมณ์ก็ไม่ใช่อื่น คืออดีตที่ล่วงมาแล้วไปนึกเอามา ดีชั่วอย่างไรก็นึกเอามา มาหมักหมมที่ใจนี้ อนาคตยังไม่มาถึงก็เหนี่ยวเอามา เอามาเต็มอยู่ในปัจจุบันนี้ เรียกว่าธรรมารมณ์

    ๑๘. คนจะก้าวล่วงทุกข์ได้เพราะวิริยะความเพียร เพียรทำทุกสิ่งทุกอย่าง ความดีความงามทุกสิ่งทุกอย่างควรทำความเพียร ชื่อว่าคนไม่ประมาท ผู้ที่ข้ามมหานรกพ้นสมมติได้ก็เพราะไม่เป็นผู้ประมาทในคุณงามความดี ทางบุญทางกุศล คนประมาทมันมักทำบาปทำกรรมใส่ตน คนประมาทชีวิตจะยาวร้อยปีก็ตาม ก็เหมือนกันกับคนตายแล้ว คนไม่ประมาทชีวิต เขาจะเป็นอยู่วันเดียวก็ยังดีกว่าผู้ประมาทเป็นอยู่ร้อยปี นั่นประเสริฐกว่า

    ๑๙. ความทุกข์มันเกิดจากความอยากความใคร่ ภวตัณหาความอยากได้ อยากเป็นอยากมี อยากกอบโกยเอา อยากได้มาเป็นของตัว อยากเป็นเศรษฐีคหบดี อยากเป็นราชามหากษัตริย์ เรียกว่าภว ความอยากเป็นอยากมี ความไม่พอใจเหมือนอย่างความแก่หง่อมแห่งชีวิต ความเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต ความมีหนังหดเหี่ยวเป็นเกลียว ผมหงอกฟันหัก อันนี้ไม่พอใจ เสียใจ อยากให้มันเป็นหนุ่มตึงอยู่เหมือนเก่า ผมหงอกมันก็เอายาดำ ๆ มาย้อม แล้วมันก็ป่งขึ้นอีก มันก็ขายหน้าล่ะ มันก็ดำอยู่ปลายนั่น โคน ๆ มันก็ขาว มันก็ขายหน้าอีก แล้วก็ไม่พอใจ นี่เรียกว่า วิภวตัณหา ตัณหาสามอย่างนี้แหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

    ๒๐. (ซ้ำกับข้อ ๑๔)

    ๒๑. ความทุกขกายเป็นสัตวทุกข์ มีอยู่เป็นสิ่งธรรมดา ให้เราตั้งสติอบรมจิตใจของเราอย่าให้มันไปยึดถือร่างกาย ถ้าแม้นมันไม่ยึดถือแล้ว ก็จะอบรมจิตใจของเราให้มันสบาย หายใจไม่สบายนี่มันทุกข์หลาย มันทุกข์ก็เพราะยึดเอาอารมณ์นั่นแหละเข้ามายึดถือ อารมณ์ทั้งหลาย อารมณ์ที่พอใจ มันก็ยึดเข้ามา อารมณ์ที่ไม่พอใจมันก็ยึดเข้ามา ยึดเข้ามาแล้วก็มาเผาใจ ไม่พอใจก็เป็นเหตุให้คับแค้นใจ อารมณ์ที่พอใจนั้น เมื่อมันพลัดพรากไปก็ใจถูกเผาอีก เป็นเหตุให้โศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ถึงกัน สิ่งที่พลัดพรากเป็นวัตถุภายนอกก็ตามหรือแม้ญาติมิตรก็ตาม พลัดพรากจากไปมันก็เป็นทุกข์ ก็เพราะไม่รู้เท่าอารมณ์ พระพุทธเจ้าว่าของเก่า ของพวกนี้เคยมีมาตั้งแต่เก่า ไม่ใช่จะมีมาเดี๋ยวนี้ เราเกิดมาชาตินี้จึงมาพบปะกันในชาตินี้ สิ่งที่พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี พบปะอยู่ทุกภพทุกชาติ

    ๒๒. เวลาล่วงไป ชีวิตของเราก็ล่วงไป ล่วงไปหาความตาย มนุษย์เป็นสัตว์อันสูงสุด อันนี้เป็นเพราะเราได้สมบัติอันดีมา ปุพเพกะตะปุญญะตา บุญกุศลคุณงามความดีเราได้สร้างมาหลายภพหลายชาติแล้ว เราอย่าไปเข้าใจว่าเราเกิดมาชาติเดียวนี้ ตั้งแต่เราเทียวตายเทียวเกิดมานี่นับกัปนับกัลป์อนันตชาติไม่ได้ แล้วจะว่าเหมือนกันได้อย่างไรล่ะ เมื่อเราเกิดมาก็มีแต่วิญญาณเท่านั้น พอปฏิสนธิก็เอาเลือดเอาเนื้อพ่อแม่มาแบ่งให้ ได้อัตตภาพออกมาแม้กระนั้นก็ไม่มีสัตว์มาเกิด ต้องอาศัยจุติวิญญาณ


    ขอขอบคุณ

    ธรรโมวาทของหลวงปู่ขาว อนาลโย
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเสาร์ มะรืน ก็เป็นวันอาทิตย์ ก็คงมาชวนกันใส่บาตร ไหว้พระ นั่งสมาธิ กำหนดเอาจิตเกาะนิพพานเป็นอารมณ์ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอนไว้ และหากมีเวลา วันอาทิตย์นี้ เวลา 7.30 น. ขอเชิญมาร่วมถวายสังฆทานอาหารกับพระสงฆ์อาพาธที่ รพ.สงฆ์กัน คราวนี้มีพระสงฆ์ที่ต้องถวายสังฆทานให้ท่านทั้งหมดนับรวมที่ตึกกัลยาณิวัฒนาทั้งสิ้นรวม 180 รูป ไปกันครับ ไปช่วยถวายสังฆทานอาหารกัน เสร็จแล้วมาคุยกัน มาเจอกัน เดือนนึงมาคุยกันซักที เผื่อมีของดีจะได้บอกกัน ครบปีครึ่งพอดี พรุ่งนี้ อ.ปุ๊ จะมาสรุปตัวเลขพระที่ถวายสังฆทานมาตั้งแต่ต้นปี พร้ัอมกับยอดบริจาคทั้งหมดที่เบิกจากบัญชีทุนนิธิฯ เห็นตัวเลขคร่าวพระราวๆ พันกว่ารูป ยอดเงิน สี่แสนกว่าบาทแล้วครับ หากรวมกับปีทีแล้วเงินที่ทำกิจกรรมทั้งหมดก็ประมาณล้านสองแสนกว่าแล้วมั๊งครับ กองบุญก็มีอยู่แค่นี้ กรรมการฯ ก็มีอยู่แค่นี้ เราก็จะทำกันต่อครับไม่เลิก ใครตายไปก็ส่งลูก ส่งญาติมาช่วยกันทำต่อ ทุนนิธิฯ เล็กๆ ก็จะไม่จบไม่สิ้น เพราะพระสงฆ์ท่านเจ็บป่วยกันทุกวัน เผื่อใครบุญดีแล้ว เติมเต็มอีกนิดพอถึงที่ก็จบกัน พอกันทีการเวียนว่ายตายเกิด...ถ้ายังไม่เต็ม ก็ตามไปต่อกันในชาติต่อๆ ไป ก็ยังนับว่าไม่ขาดทุนอยู่ดี ดูอย่างพระหนุ่ม เณรน้อยในภาพล่างนั่นปะไร ท่านหวังสิ่งใดในเพศบรรพชิต ก็ตอบได้ว่าท่านก็หวังนิพพานเช่นเราที่เป็นฆราวาส เพียงแต่คนละเส้นทางเท่านั้น ท่านไม่ท้อใจ เราก็ไม่ควรท้อใจเช่นกัน

    [​IMG]


     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ถ้าใครเคยอ่านแล้ว ขออภัยด้วย....

    [​IMG]

    ภาพท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
    กำลังกลับจากบิณฑบาตรกับคณะลูกศิษย์
    <center><!-- google_ad_section_start -->☆*~บารมีหลวงตามหาบัว ~*☆<!-- google_ad_section_end -->

    </center> <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->หลวง พ่อพุธ วัดป่าสาลวันท่านเคยกล่าวไว้ว่า “มีพระ 3 องค์ที่หลวงพ่อเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นพระอรหันต์ คือหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทศก์ และหลวงตามหาบัว” ทุกวันนี้อัฐิบางส่วนของหลวงพ่อพุธที่ตอนแรกได้มาก็เป็นกระดูกดีๆแต่ตอนนี้ ก็ได้เปลี
    ่ยนสภาพเป็นเหมือนเอาหินอ่อนมาทุบ ไม่ทราบจะเรียกพระธาตุได้รึเปล่า ใครที่ปรามาทหลวงตามหาบัวไว้คงได้หนาวๆร้อนๆ แต่ยังทันครับท่านยังทรงสังขารอยู่รีบไปขอขมาซะ

    ท้าวสักกะเทวราช
    เมื่อครั้งหลวงตาท่านเทศน์ว่าฟันท่านโยกแล้วฝันว่าท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์มาขอ
    เอา ไปบูชาท่านก็ได้ให้ไป ผมกับเพื่อนๆก็คิดกันไปเองว่า “สงสัยจะเอาไปไว้ที่เกศแก้วจุฬามณี แต่นั่นมันน่าจะเป็นที่ของพระพุทธเจ้า แม้หลวงตาท่านมีบารมีและทำประโยชน์เพื่อศาสนามากแต่ก็ไม่น่าจะอยู่นั่น” นั่งมั่วกันอยู่หลายวัน สุดท้ายลูกศิษย์หลวงพ่อประสิทธิ์โทรมาหาด้วยความตื่นเต้นเล่าว่า หลวงพ่อประสิทธิ์ บอกว่า “พระอินทร์เอาฟันหลวงตาไปบรรจุในเจดีย์ทองคำที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์” นั้นไงคำตอบมาแล้วครับ

    ห้ามฝน
    ที่ ประจักกับตาอีกครั้งก็คราวหลวงตาท่านไปเทศน์เนื่องในโอกาส งานมีผ้าป่าช่วยชาติและเปิดเจดีย์หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส อุดรธานี วันนั้นเมฆมามืดครึ้มจากประสบการณ์อันน้อยนิดก็พยากรณ์อากาศเองว่าตกชัวร์ และแล้วก่อนหลวงตาออกเทศน์ไม่กี่นาทีฝนก็ลงเม็ดจริงๆแม้ไม่แรงแต่ก็สร้าง ความลำบากไม่น้อย พอหลวงตาท่านออกมา ท่านก็พูดออกไมค์เสียงดังฟังชัดว่า “เทวดาคนเขาจะมา



    ทำบุญทำกุศล ฝนนะยังไม่ต้องตกนะ” นับหนึ่งไม่ถึงสิบฝนก็ขาดเม็ดพอเทศน์เสร็จงานจบตอนนั้นผมบังเอิญอยูแถวเต๊น หลวงตาพอดี หูคงไม่ฝาดผมได้ยิน หลวงตาท่านเอยขึ้นมาเบาๆว่า “เสร็จงานแล้วจะตกก็ตก” คงไม่ต้องให้เล่านะครับว่าเกิดอะไรขึ้น หนักสมกับที่อั้นมา2ชั่วโมง



    เรื่องของโน๊ต
    เมื่อปี48 เพื่อนผมชื่อ "ไอ้โน๊ต" ไปถอนฟันคุด ที่คลีนิคแห่งหนึ่งแต่ขณะถอนฟัน หมอลงมีดพลาดไปตัดเส้นเลือดใหญ่เข้า เลือดสดๆทลักออกจากปาก รวมแล้วมีปริมาณมากถึง1200 ซีซี หรือ 4 ถุง หมอจึงรีบนำโน๊ต ไปโรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลรีบทำการรักษา โน๊ตเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นน้ำออกจากร่างกาย(หรือที่เราเรียกว่ายางตายออก) วัดชีพจรไม่ได้ ความรู้สึกมันค่อยๆดับวูบลง โดยค่อยๆดับจากทางหัวก่อน และแล้วโน๊ตก็หมดสติ(หรือหลับก็ไม่รู้) แม้ร่างกายจะอ่อนแอแต่ในฝันชัดเจนมาก โน๊ตเห็พระ 3 องค์ หลวงตาบัวนั่งเทศน์สอนพระเณรอยู่ไกลออกไป หลวงปู่เพียร วัดหนองกอง อยู่ขวามือของโน๊ต และหลวงปู่ลี วัดภูผาแดง อยู่ซ้ายมือ
    ในฝันหลวงปู่ เพียรท่านยิ้มให้ ส่วน หลวงปู่ลีได้คุยกับโน๊ต ในฝันหลวงปู่ท่านเมตตามาก โน๊ตได้คุยกับหลวงปู่ว่า “ผมเกือบตาย ดีนะหมอเขาช่วยไว้” พร้อมกับเปิดเสื้อโรงพยาบาลให้หลวงปู่ดู สายเครื่องวัดหัวใจที่ยังคงแปะติดกับตัว หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ไหนเอามือมา
    พอโน๊ต ยื่นมือขวาไปหลวงปู่ท่านก็เป่าลงไปที่มือ พร้อมสำทับว่า “ไม่ตายหรอก” และก็ไม่ตายจริงๆ พอโน๊ตฟื้นก็เล่าแต่ความฝันนี้ให้ทุกคนฟัง พอถามว่าใส่พระอะไร โน๊ต บอกพยาบาลถอดพระออกตั้งแต่เข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว เหลือแต่สายสิญจ์นงานประทายข้าวหลวงตาบัวผูกแขนขวาอยู่ และ ในฝันสายสิญจน์งานประทายข้าวหลวงตายังผูกที่แขนขวาอยู่เลย ผมจึงเกิดอาการสงสัยว่าทำไมเป็นหลวงปู่ลีที่ช่วยไม่ใช่หลวงตาบัวที่ช่วย ทั้งๆที่เป็นสายสิญจ์นของหลวงตา และโน้ตเองก็เคยกราบหลวงปู่ลีแค่ครั้งเดี๋ยว โน๊ต ก็ตอบอย่างมั่นใจว่า ต้องเป็นเพราะหลายปีก่อนตอนหลวงปู่ลีมาชลบุรี พระวัดเขาพระ รวบรวมทองถวายหลวงปู่ลี เพื่อให้หลวงปู่ลีนำไปถวายหลวงตาบัว และนั่นเป็นครั้งเดียวที่โน๊ตได้ถวายทองหลวงตาบัวโดยผ่านทางหลวงปู่ลี โน๊ตบอก “นั่นเป็นแค่ห่วงทองเล็กๆ ตอนถวายยังกลัวชาวบ้านดูแคลนด้วยซ้ำไป แต่นึกถึงบุญถวายทองครั้งนั้นทีไรต้องปลืมปิติทุกครั้ง”
    แม้ โน๊ตจะใส่สายสิญจ์นหลวงตาบัว แต่ผมเชื่อว่าหลวงปู่ลีเป็นคนช่วยชีวิตโน๊ต และที่ท่านช่วยได้เพราะบุญของโน๊ตเอง บุญที่เคยถวายทองหลวงตาบัวผ่านทางหลวงปู่ลี นี้แค่ห่วงทองเล็กๆยังมีอานิสงส์ ขนาดนี้



    วัตถุมงคล
    รูปของพระสุปฏิบันโนย่อมมีเทวดารักษา หากผู้เป็นเจ้าของใส่ด้วยความเคารพศรัทธาจริงเทวดาที่รักษาย่อมไม่ทิ้ง พระ เครื่องหลวงตาบัว ส่วนใหญ่90% จะผ่านการอธิษฐานจากหลวงปู่ลี วัดภูผาแดง (ลูกศิษย์ที่ทรงฤทธิ์ของหลวงตาบัว โดยหลวงตากล่าวรับรองหลวงปู่ลีว่าเป็นผ้าขี้ริ้วทองคำ) หรือไม่ก็นำไปซุกซ่อนไว้ในศาลาตอนหลวงตาท่านทำวัตรสวดมนต์
    เมื่อหลายปี ก่อนหลวงตาท่านเดินทางไปภาคเหนือ มีคณะลูกศิษย์หลวงตากลุ่มหนึ่งต้องการติดตามขบวนไปด้วย หลวงตาท่านก็กล่าวในเชิงห้ามปรามให้อยู่ภาวนาที่วัดดีกว่า แต่คณะก็เห็นว่าไม่ใช่คำสั่งเด็ดขาดจึงตัดสินใจไป ในตอนกลับต่างคนต่างก็แยกกันกลับ ในขณะที่รถกะบะของคณะนี้ขับในเขตเขาค้อเพชรบูรณ์ รถได้เสียหลักตกเขา รถกะบะพังยับไม่สามารถซ่อมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ ทุกคนปลอดภัย มีแค่รอยฟกช้ำดำเขียว! พอถามดูไม่มีใครใส่พระซักคนเดียว ทั้งรถมีเพียงล็อกเก็ตกระดาษของหลวงตาบัว(ที่ไล่แจกกันที่บ้านตาดก็ไม่มีคน เอาเพราะแค่เอาไปซุกไว้ตอนหลวงตาท่านทำวัตรสวดมนต์)เพียงอันเดียว! และ เคย มีเพื่อนผมคนหนึ่งได้พระสิวลีโครงการณ์ช่วยชาติ ของหลวงตาไป1องค์เป็นพระที่ซุกไว้เช่นกัน แต่เขาเอาไปกราบไหว้ด้วยความเคารพเขาโทรมาบอกผมว่า "ถูกหวยมา7งวดติดแล้ว เดี๋ยวจะเอาพระไปเลี่ยมทอง แล้วก็ฝากเงินไปทำบุญด้วย"

    หวย
    พอพูดถึงหวยก็พลอยทำให้นึกถึงญาติผมท่านหนึ่ง เขา เคยไปกราบหลวงตาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ด้วยความที่เคยไปกราบครั้งแรกไม่ทราบถึงความ ดุ ของท่านจึงได้ ขอคำหมากจากหลวงตา แล้วก็โดนเอ็ดชุดใหญ่ พอเอ็ดเสร็จหลวงตาท่านก็กล่าวต่อว่า "ศีลห้า รักษาได้ซักสองสามข้อรึเปล่า" ไม่ต้องกลับครับงวดนั้น 523 และก็เป็นประจำที่ผมฟังเทศน์ท่านตอนเช้า(วิทยุ) ถ้าวันไหนมีคนโดนเอ็ดต้องมีตัวเลขตามมาด้วยทุกครั้ง เท่าที่ผมฟังอย่างน้อย 5 ครั้ง(ปรกติไม่ได้ฟังทุกวัน) ออก 3ตัว 2ตัว ไม่ต้องกลับ และระหว่างโครงการช่วยชาติมีครั้งหนึ่งตอนท่านมากรุงเทพฯ ท่าน เพิ่งได้ทอง300กว่ากิโล แต่ท่านกลับประกาศว่าจะเอาทองเข้าคลังหลวงวันที่....(หลังวันประกาศไม่ถึง 2 อาทิตย์) จำนวน525กิโล จึงเป็นที่แปลกใจของผมว่าท่านจะเอามาจากไหนอีกตั้งเกือบ200กิโล และท่านก็หามาได้จริงตามกำหนดท่านและงวดนั้นก็ออก 525 ไม่ต้องกลับอีกแล้วครับพี่น้อง และ มีครั้งหนึ่งมีงานนิมนต์พระมาทำพิธีที่สวนอัมพร ท่านก็สั่งเองอีกว่าให้นิมนต์พระมา15รูป ผมก็งงอีกปรกติการนิมนต์พระมักจะใช้เลขมงคลเช่น 9รูป แต่ไม่เคยเห็นใครนิมนต์15รูป และแล้วก็หายงง ออก51(แต่คราวนี้ต้องกลับ)
    ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมเคยสัมผัสและได้ยินมา แต่ผมไม่ได้แนะนำชักชวนใครเล่นหวยนะครับและถึงผมรู้แต่ก็ไม่เคยซื้อเลย
    ฟังแค่ขำขำแล้วกัน



    ปรามาสพระ
    ค่ำวันหนึ่งขณะประชุมสภาได้มีส.ส.คนหนึ่งได้กล่าววาจาเสียดสีหลวงตาอย่างแรง พอผมได้ข่าวก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนตามฐานะของคนมีกิเลสทั่วไป แต่พอตกบ่ายวันรุ่งขึ้นตอนฉันน้ำปานะ หลวงตาท่านก็ปรารภขึ้นมากับเหล่าพระเณรว่า " เมื่อคืน มียมบาลมากราบ เขาบอกว่ามีส.ส.ชื่อ...เขา ด่าเรา ยมบาลบอกว่าเขาได้จดชื่อไว้แล้ว ถ้าหมดบุญเมื่อไหร่ เขาจะเป็นคนลากคอมันลงนรกเอง"
    พอผมถามว่ามีใครไปรายงานหลวงตารึเปล่าว่ามีส.ส.ว่าท่าน คำตอบก็คือ ทุกคนรู้แต่ไม่มีใครกล้ากราบเรียนเพราะมันไม่เหมาะสม
    หรือมี คนคนหนึ่งเขาไปกราบขอขมาหลวงตาที่เขาได้ว่าท่านอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ปาก เบี้ยว พอขอขมาที่รูปท่านอาการจึงดีขึ้นแต่ไม่หายขาดจึงได้มากราบขอขมาท่านเองที่ วัด แต่ท่านก็บอกว่า "ถ้าขอขมาแล้วไปพูดเหมือนเดิมก็จะเป็นเหมือนเดิม" เขาจึงกราบเรียนไปว่า "ไม่กล้าแล้วครับ"

    ปลดปล่อยวิญญาณ
    หลายสิบปี ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทางผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี
    ได้กราบเรียนหลวงปู่ ถึงความคิดที่จะทำสังฆทานอุทิศให้กับทหารทั้งไทยและพม่าที่ได้เสียชีวิต ณ.บริเวณที่ทางผู้ว่าฯเชื่อว่าพม่าและไทยได้เคยทำการรบกันในเขตจังหวัด สุพรรณบุรี ทางหลวงปู่สังวาลย์ก็เห็นด้วยเพียงแต่ท่านกล่าวว่าการ ที่จะปลดปล่อยวิญญาณจำนวนมากขนาดนี้ให้เป็นไปสู่สุขติ ต้องให้พระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากมีบารมีมากมาเป็นประธานในการรับมหาสังฆทานใน ครั้งนี้ ซึ่งหลวงปู่สังวาลย์ เห็นว่าทั้งเมืองไทยตอนนี้ มีเพียงหลวงตามหาบัวเท่านั้นที่ทำได้ ทางผู้ว่าฯจึงได้นิมนต์หลวงตามารับมหาสังฆทานในครั้งนี้
    หลังจากหลวงตาบัวท่านมาเป็นประธาน ใน เย็นวันนั้นเองก็เกิดเหตุอัศจรรย์ คือมีไส้เดือนมุดดินขึ้นมาตายในบริเวณที่ทำพิธี(ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นสนามรบ) จำนวนมหาศาลคนทำความสะอาดกวาดซากไส้เดือนลงเข่งได้นับสิบๆเข่ง นี้คงเป็นการปลดปล่อยวิญญาณครั้งมโหฬารจริงๆ
    อีกครั้งเมื่อคราวปิดโครงการช่วยชาติ เพื่อนผมคนหนึ่งมีวาสนาได้ไปร่วมงานหลังจากพิธีการทั้งหลายเสร็จสิ้นหลวงตาท่านก็ให้พร
    ซึ่งท่านได้กล่าวว่า วันนี้จะให้พรเป็นพิเศษให้ตั้งใจรับให้ดี แล้วท่านก็สวด ยถาฯ นั่นก็ยถาธรรมดาไม่ได้มีบทอี่นเป็นพิเศษไปกว่าทุกครั้ง
    แต่เพื่อนผมคนที่ไปได้ยินเสียงอะไรซักอย่างแตกจากตัวของเขาเอง พอ สำรวจดูก็ถึงบางอ้อพร้อมน้ำตาเพราะพระที่ทำจากผงกระดูกราคาหลายหมื่นแตก แตกทั้งที่กรอบทองยังปรกติ สงสัยวิญญาณกุมารคงไปสู่สุคติแล้ว



    เมื่อหลวงตามหาบัวฉุดพ่อขึ้นจากนรก
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริงของคุณนุ่นที่หลายคนอาจจะไม่เชื่อ แต่อ่านให้จบท่านอาจได้ข้อคิด อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้

    เล่าที่มาของนุ่น
    บ้านของนุ่นอยู่ในกรุงเทพฯ ครอบครัวนุ่นจัดได้ว่าครอบครัวนุ่นมีฐานะครอบครัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ แม่และน้าของนุ่นเป็นพวกชอบเข้าวัดทำบุญมาก โดยเฉพาะวัดป่าบ้านตาด และสวนแสงธรรม ตั้งแต่มีโครงการณ์ช่วยชาติ ของหลวงตาบัว เข้าไปช่วยงานจนแทบจะเรียกว่าเป็นกิจกรรมหลักของชีวิตทีเดียว ส่วนตัวพ่อและนุ่น แทบไม่เคยเข้าวัดเลย พ่อเป็นพวกติดเหล้า แต่ก็รักลูกมากจึงไม่ได้ไปกินเหล้านอกบ้าน แต่กินในบ้านเพื่อจะได้อยู่กับลูกและด้วยความสุดขั้วมาเจอกันทำให้พ่อ และแม่นุ่นมีปากเสียงกันเป็นประจำ โดยพ่อก็จะต่อว่าแม่และลามไปถึงหลวงตาบัวถึงขนาดเรียกหลวงตาบัวว่า อีตาบัว นุ่นเองนอกจากจะสนิทกับพ่อมากกว่าแม่แล้วยังเห็นว่า แม่เอาแต่ทำบุญไม่สนใจพ่อและนุ่นเลย จึงเข้ากับพ่อเป็นปี่เป็นขลุ่ย

    ทุกข์สุดในชีวิต
    และด้วยการใช้ชีวิตอย่างที่กินเหล้า-สูบบุหรี่จัด ทำให้มะเร็งคร่าชีวิตพ่อไปก่อนเวลาอันควรนั่นเป็นเหตุให้นุ่นเป็นทุกข์ ทุกข์ที่สุดในชีวิตของนุ่น แม่พยายามหาเวลามาอยู่กับนุ่นมากขึ้น แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ด้วยความคิดถึงพ่อทุกวันนุ่นต้องตื่นมาใสบาตรพระหน้าบ้าน เพื่ออุทิศให้พ่อ จนมาวันหนึ่งแม่จึงเอ่ยปากชวน นุ่นไปทำบุญ ประทายข้าว ที่วัดป่าบ้านตาด กับหลวงตาบัว ด้วยความอคติที่พ่อพร่ำสอนนุ่น ทำให้นุ่นปฏิเสธในฉับพลัน แม่จึงพยายามชี้แจงเหตุผลว่า ทำกับหลวงตาบัวได้บุญมาก พ่อเขาจะได้บุญมากไปด้วย หลังจากมีการทุ่มเถียงอยู่นาน แม่จึงใช้ไม้เด็ดว่า ถ้าทำกับหลวงตาแล้ว ถ้าพ่อไม่ได้รับบุญครั้งนี้ ก็เลิกไป แม่ก็จะเลิกไปเหมือนกันนุ่นจึงไปด้วยเพราะเหมือนรับคำท้า
    พอไปในงานนุ่นก็ไปช่วยในกลุ่ม กองเรือป้าป้อม และด้วยความที่มาเพราะคำท้าทำให้นุ่น หงุดหงิดกับการมาครั้งนี้ตลอดงาน

    พ่อมาหา
    หลังจากเสร็จงานก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯ และคืนนั้นเองระหว่างที่นุ่นหลับอยู่ แม่ก็เข้ามาปลุกนุ่นด้วยอาการตกใจอย่างมาก นุ่นตื่นเร็วพ่อมา
    และแม่ก็พาไปห้องแม่ซึ่งตอนนี้นามานอนด้วย เมื่อเข้าไปน้าพูดขึ้นว่า นุ่นมาหาพ่อหน่อย นุ่นจึงตวาดกลับไป เล่นบ้าอะไร เอาพ่อมาเล่นบ้าอะไร พ่อในร่างน้าก็พยายามพูดให้นุ่นเชื่อว่าเป็นพ่อจริงๆ ไม่ใช่น้า จนมีการนำเรื่องที่มีเฉพาะนุ่นกับพ่อที่รู้กันแค่สองคนมาถาม ซึ่งพ่อก็ตอบได้ นุ่นจึงลงใจวิ่งเข้าไปกอดพ่อในร่างของน้า หลังจากแสดงความรักและคิดถึงกันอยู่นานพ่อจึงเล่าเรื่องหลังความตายของพ่อ ให้ฟัง



    เรื่องหลังความตาย
    พ่อเล่าว่า พ่อเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า จึงถูกนำลงไปนรกไปกรอกน้ำทองแดง ระหว่างที่พ่อเข้าแถว พ่อเหลือบไปเห็นพระรูปหนึ่งเข้ามาอยู่ในบริเวณนั้น แล้วก็มีเสียงเรียก นายอำนวย...ออกมาพ่อไม่กล้าออกนอกแถว เพราะจะมีคนคอยเอาหอกแหลมแทงทะลุคนที่แตกแถว มันน่ากลัวมาก พอถึงคิวพ่อถูกกรอกน้ำทองแดง ก็มีแรงมหาศาลฉุดพ่อออกจากแถว พร้อมพูดว่า
    นายอำนวย... ออกมาถ้าเราสั่งแล้วไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก
    จำเราได้รึเปล่า
    จำไม่ได้ครับ

    เราอีตาบัวไง อีตาบัวที่อ๊อดชอบไปทำบุญบ่อยๆนะหรอกหรือครับ
    เอ่อนั่นแหละ เท่านั้นพ่อเข่าอ่อนเลย หลวงตาท่านทราบแต่ท่านไม่โกรธแต่ท่านกลับมาช่วย

    ต่อรองเจ้ากรรมนายเวร
    หลวงตาพาพ่อไปหาคนที่มีหน้าที่ดูแลบัญชีบุญบาปของมนุษย์ แต่พ่อไม่ค่อยทำบุญบุญน้อย จึงไม่พอให้เจ้ากรรมนายเวร หลวงตาจึงให้เปิดบัญชีบุญของแม่ ซึ่งมีมากแต่ยังไม่พอ หลวงตาจึงว่า ให้ดูใหม่ มีบุญประทายข้าวด้วย เขาจึงเปิดอีกจึงพบและ หลวงตาให้เอาบุญนี้ให้เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งทางโน้นก็พอใจจึงปล่อยตัวพ่ออกมาได้

    เรื่องของพ่อหลังพ้นจากนรก
    หลัง จากที่หลวงตาท่านช่วยพ่อของนุ่น วิญญาณเร่ร่อนของพ่อน่นจึงได้ไปอย่วัดป่าบ้านตาด ดังเช่นวิญญาณอีกจำนวนมหาศาลที่หลวงตาบัวช่วยให้พ้นจากนรก เหตุที่มา วัดป่าบ้านตาดเพราะจะได้คอยอนุโมทนากับคนที่มาทำบุญที่วัด รวมไปถึงมีการพัฒนาคุณภาพวิญญาณ ให้มีมีบุญกุศลและความดีพอที่จะยกชั้นภูมิได้ หากวิญญาณไหนโชคดีมีญาติมาปฏิบัติธรรมก็จะเปลี่ยนภพภูมิได้เร็ว พ่อนุ่นยังเล่าต่ออีกว่าผ้าบังสุกุล ที่แม่กับนุ่นทำไปทอดทิ้งไว้ พ่อได้รับแล้ว เวลาร้อนก็อาศัยกันร้อนได้ เวลาหนาวก็อาศัยห่มได้



    นั่งสมาธิให้พ่อด้วย
    เนื่องจากภพภูมิที่พ่ออยู่ไม่เหมือนภพภูมิมนุษย์ เป็นภพที่ยังทุกข์อยู่มาก หากวันไหนนุ่นนั่งสมาธิแล้วอุทิศบุญให้พ่อ พ่อก็จะรู้สึกสบาย
    นุ่นจึงรับปากพ่อว่าจะนั่งสมาธิให้ทุกวัน ซึ่งหลังจากรับปากพ่อแล้ว นุ่นก็จะนั่งทุกวันซึ่งเป็นเวลาเดิมทุกวัน แต่มีอยู่วันหนึ่งนุ่นได้ไปช่วยงานหลวงตา เมื่อเลยเวลานั่งสมาธินุ่นก็รู้สึกถึงอาการคันและเจ็บยิบๆเหมือนใครเอาเข็ม มาจิ้ม พอนึกขึ้นได้ว่าเลยเวลานั่งสมาธิแล้วจึงพูดออกไปว่า เสร็จงาน กลับบ้านแล้วจะไปนั่งสมาธิให้พ่อ เท่านั้นแหละอาการก็หายไป หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็มาแฝงน้าอีก นุ่นจึงถามพ่อว่าเรื่องที่คันยิบๆนั่นฝีมือพ่อรึเปล่า ซึ่งพ่อก็รับว่าใช่

    หลวงตาเลื่อนงานประทายข้าว
    มีอยู่ปีหนึ่งหลวงตาท่านเลื่อนงานประทายข้าวให้มาเร็วขึ้น ราว1อาทิตย์ โดยท่านให้เหตุผลว่า อาทิตย์ที่เลื่อนไปท่านจะไปทำธุระ นุ่นเองก้ได้ถามกับพ่อที่แฝงมาที่ร่างของน้า ถึงสาเหตุที่แท้จริงพ่อ จึงตอบว่า ที่หลวงตาเลื่อนเพราะกำหนดการงานประทายข้าวเดิมตรงกับวันตัดสินของทางนรก หลวงตาจึงเลื่อนให้เร็วขึ้นเผื่อจะมีญาติของใคร ทำบุญให้คนที่ตกนรก หลวงตาจะได้ใช้บุญที่ญาติอุทิศไปให้ ใช้ในการต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร

    พ่อบุญพอแล้ว
    หลัง จากที่พ่อมาแฝงร่างน้าครั้งแรก นุ่นและแม่ได้เพียร ทำบุญกับหลวงตา รักษาศีล นั่งสมาธิ เพื่ออุทิศบุญให้พ่อ ซึ่งระหว่างนั้นพ่อก็เข้ามาแฝงน้าเป็นระยะๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อมาบอกนุ่นว่า หลวงตาบอกพ่อมีบุญพอแล้วที่จะเปลี่ยนภพภูมิไปเมืองสวรรค์ ให้ไปตัดอาลัยทั้งหมดให้ได้จะพาไปภพภูมิที่ดีกว่า ตอนนี้พ่อเหลือห่วงคือลูกคนเดียวแต่ยังไงก็จะมาลาลูก นุ่นได้ยินดังนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ แล้วพูดว่า นุ่นไม่ยอม นุ่นไม่ยอมให้พ่อไปไหน พ่ออยู่อย่างนี้นุ่นยังได้เจอเวลาพ่อมาแฝงน้า พ่อก็พูดทั้งน้ำตาว่า น้ำตาของลูกในโลกวิญญาณมันท่วมเป็นทะเลมหาสมุทรแล้ว แล้วพ่อก็เงียบไป นุ่นเล่าเรื่องนี้ให้แม่และน้าฟัง ทั้งสองจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ นุ่น ทำใจเพื่อไม่ให้ขวางทางพ่อ ที่จะไปดีและพ่อก็มาอีก แต่คราวนี้นุ่น ทำใจได้แล้วและหลังจากนั้น พ่อก็ไม่เคยมาแฝงน้าอีกเลย

    เรื่องราวหลังจากนั้นและบทสรุป
    หลังจากนั้นนานมากแล้ว นุ่นก็ยังทำใจไม่ได้ ยังแอบร้องไห้คิดถึงพ่อเป็นประจำ ซึ่งมีวันหนึ่ง นุ่นไปกราบหลวงตาที่สวนแสงธรรม
    นุ่นนั่งอยู่ด้านล่างกุฏิหลวงตาขณะฟังเทศน์หลวงตา ด้วยความทุกข์ใจที่ยังตัดอาลัยไม่ขาดนุ่นจึงก้มหน้าและร้องไห้ออกมา แต่เป็นการร้องแบบเงียบๆไม่ได้รบกวนใคร ซักพักก็มีแม่ชีคนหนึ่งเดินเข้ามาลูบหลัง แล้วพูดขึ้นว่า พ่อหนูให้ฉันมาบอกว่า ตอนนี้พ่ออยู่สวรรค์แล้ว สบายดีไม่ต้องเป็นห่วงนุ่น ถึงกับสะดุ้ง เพราะที่ร้องไห้เป็น การก้มหน้าแล้วน้ำตาไหล ซึ่งถ้าไม่มีใครมานั่งจ้องหน้าจริงๆก็จะไม่เห็น อีกทั้งเป็นเวลาค่ำแล้ว และต่อให้เห็นก็ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่า นุ่นร้องไห้เรื่องอะไร แต่แม่ชีที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนี้พูดตรงกับเรื่องของนุ่น ซึ่งมันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ หลังจากคราวนั้นนุ่นก็ทำใจได้ และตั้งใจทำบุญเหมือนเดิม เพราะนุ่นเชื่อแล้ว
    เชื่อในบุญในบาป เชื่อในหลวงตามหาบัว แล้ววันนี้ท่านเชื่อรึยัง..????





    ในสมัยปัจจุบัน ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง ในปี ๒๕๔๐ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ท่านป่วยหนัก ผลที่หมอตรวจที่วัดป่าบ้านตาด ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น ที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ เป็นที่แน่นอนว่าท่านป่วยเป็น “โรคมะเร็งลำไส้” ขั้นสุดท้าย
    หมอบอกว่า ท่านจะต้องตายก่อนเข้าพรรษาปีนั้นอย่างแน่นอน ท่านได้นิมิตภาวนาในเรื่องนี้ก่อนแล้ว แล้วต่อมาในปีเดียวกัน มีคนนิมนต์ให้ท่านอยู่ช่วยชาติบ้านเมือง ท่านจึงประกาศตั้งโครงการช่วยชาติ.. โรคได้หายเป็นปลิดทิ้งเพราะอานิสงส์นั้นเท่าทุกวันนี้ แล้วท่านได้ยาดีอะไรมารักษา? ก็ตอบได้ว่า เป็นยาวิเศษที่เทวดานำมาถวายโดยบันดาลผ่านทางมนุษย์เป็นผู้ประกอบ ยาเทวดาเป็นยาแบบไหนหนอ
    ผู้เขียนขอไขปริศนาที่หลวงตาได้เล่าเฉพาะที่โรงน้ำร้อนวัดปาบ้านตาด ต้นปี ๒๕๕o นี้เอง
    คือ ตามปกติท่านจะไม่เล่าเรื่องลึกลับลี้เร้นเหล่านี้ เพราะท่านว่าเป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตน การนำออกมาเผยแผ่บางคนอาจไม่เข้าใจ เกิดการตำหนิลบหลู่เป็นการก่อกรรมแก่เขาได้ ท่านเล่าว่า คราวหนึ่งท่านอยู่ในป่าลึกเพียงรูปเดียว เร่งความเพียรภาวนาอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายซูบซีดผอมเหลือง เรี่ยวแรงหดหาย เหลือแต่ใจอันดวงเด่น มีพลังมหาศาลข้างใน หมุนไปด้วยธรรมจักรตลอดวันคืน แต่พลังกายเหนื่อยล้าเต็มที ขณะที่ ท่านเดินจงกรมพิจารณาธรรมบางประการในยามค่ำคืน เทพธิดาตนหนึ่งได้ปรากฏกายเข้ามานั่งกราบไหว้ข้างบริเวณทางจงกรม เฝ้ารักษาอยู่โดยตลอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แล้วนางเทพธิดาจึงกราบเรียนท่านว่า
    “... เขาเคยเป็นแม่ของท่านในอดีตชาติ เกี่ยวข้องกันมานาน บัดนี้ได้มาเจอกัน ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นท่านซูบผอมซีดเซียวก็อยากมาช่วยเหลือด้วยการถวายอาหารทิพย์ อันจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้น ขอให้ท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าในอดีตชาติที่เคยเป็นแม่เป็นลูก โปรดเมตตารับอาหารทิพย์เถิด”
    หลวงตาท่านตอบว่า “...เวลานี้เป็นเวลาวิกาลโภชน์ (เลยเที่ยง) รับภัตตาหารไม่ได้”
    “อาหาร นี้ไม่มีสี ไม่มีรส เป็นอาหารวิเศษไม่ต้องกินด้วยปาก เพียงไล้ไปตามร่างกาย การไล้นั้นก็ไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัว..ก็ถือว่าได้ดื่มด่ำรสของทิพย์แล้ว” นางเทพธิดากล่าวสาธยาย
    “แม้ถึงกระนั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเจตนานั้นแหละเป็นตัวกรรมคือการกระทำ.... แม้ เป็นอาหารทิพย์ก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถึงไม่มีใครเห็นเราก็รู้อยู่แก่ใจ ใจนี่แหละเป็นตัวพาสร้างเวรสร้างกรรม มิใช่อวัยวะอื่นใด”

    เมื่อหลวงตาท่านพูดจบ ก็ก้าวเดินจงกรมต่อไป ท่ามกลางความเงียบในไพรสณฑ์ นางเทพธิดาก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเคลื่อนร่างที่เบาเหมือนปุยนุ่นไปไหน เพ่งมองท่านด้วยความห่วงใยและภูมิใจที่มีพระลูกชายเป็นพระอริยสงฆ์สาวกของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อความพ้นทุกข์ แล้วนางจึงกราบเรียนท่านว่า “พรุ่งนี้เช้าจะนำอาหารทิพย์มาถวายใหม่”
    พอ รุ่งเช้านางเทพธิดาได้มานั่งรออยู่หน้ากุฏิหลังน้อยมุงด้วยหญ้า กิริยาแช่มช้อยงดงาม หาสตรีใดในโลกเหมือนหรือเพียงเทียบเทียมมิมีได้
    สตรีที่เขาว่าสวยที่สุดในโลกเป็นนางงามจักรวาลเมื่อเทียบกับนางเทพธิดาแล้ว ก็เหมือนลิงโก๊กตัวหนึ่งเท่านั้น น่าขำจริงๆ โลกมนุษย์เอย..
    เมื่อพระหลวงตาเห็นดังนั้นจึงถามนางว่า...การ ที่เธอมานั่งอยู่หน้ากุฏิเราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาได้ ว่าพระอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ข้อครหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ นางตอบว่า“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น ไม่มีใครสามารถเห็นฉันได้..นอกจากท่านเท่านั้น นี่เป็นเทพเนรมิตเพื่อมาถวายอาหารทิพย์แก่ท่านได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”
    “ถวาย ก็ถวายมาสิ” หลวงตาตวาดนางเทพธิดาหน่อยๆ นางจึงบอกให้ท่านนั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง การถวายอาหารทิพย์ก็เป็นอันเริ่มขึ้นและจบลง
    ร่างกายของท่านกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด เหมือนปลาขาดน้ำแล้วพลันได้น้ำ เหมือนคนหิวกระหายมานานวัน พลันมาเจอบ่อน้ำอันใสสะอาด ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณที่ซีดเซียวกลับผุดผ่อง หายเมื่อย หายหิว ปฏิบัติภาวนาต่อไปได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องมีอาหารตกท้อง.. อยู่เย็นสบายคลายความทุกข์กังวล

    นี่คืออาหารเทวดา ยาเทวดาก็คงทำนองนี้เหมือนกัน เพราะนั่นเป็นของวิเศษ ที่มนุษย์ผู้ศีลน้อย ธรรมน้อยจะไม่มีวันได้พบพานเป็นอันขาด เว้นแต่ในนิทานหลอกเด็กเท่านั้น!!
    ท่านพ่อลีเองก็เคยรับอาหารบิณฑบาตจากเทวดาที่ดอยขะม้อ จังหวัดลำพูน ท่านผู้สนใจโปรดติดตามจากหนังสือเล่มใหญ่ในวาระฉลองพระธุตังคเจดีย์ ที่วัดอโศการาม ก็แล้วกัน นี่ แหละท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเป็นที่อัศจรรย์อย่างหาที่สุดมิได้ ท่านเป็นผู้นำจิตวิญญาณและชีวิตจิตใจของเราผู้ศรัทธาทั้งหลาย เหมือน โคนำจ่าฝูงที่นำพวกเราผู้พยายามเพื่อธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ ว่ายตัดกระแสน้ำคือกิเลสอันเชี่ยวกราก อันเป็นห้วงน้ำใหญ่มีอันตรายมาก ข้ามขึ้นถึงฝั่งอันราบเรียบเป็นภูมิภาคน่ารื่นรมย์ เกษมสำราญไม่มีเวรภัย ถึงเมือง “อุดมบุรี” (อุดมธรรม) และ “นิพพานนคร” โดยปลอดภัยฯ
    จากหนังสือธรรมะทะลุโลกของท่านพ่อลี ธัมมธโร
    โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร
    วัดป่าภูผาสูง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา





    หลายปีก่อนผมเคยสนธนากับอ.เบิ้ม ในช่วงหนึ่งของการสนทนามีว่า...บอลสมัยก่อนเวลาเราจะไปกราบพระเราจะต้องดูพระเจ้าอยู่หัว
    ดูยังไงครับอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัวเราท่านเป็นพรหม ฉะนั้นหากพระองค์ไหนที่ท่านไปกราบด้วยความประสงค์ของท่านเองนั่นแหละพระดี ให้รีบไปกราบ นั่นไงอาจารย์(ผมพูดพลางชี้ไปที่รูปที่พระเจ้าอยู่หัวท่านไปกราบหลวงปู่เกษม ) เอ่อ หลวงปู่เกษมหนึ่งหละ แต่เวลาท่านไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นธุรกันดานจะมีบางพระบางรูปที่เป็นที่เคารพ ของชาวบ้านในแถบนั้นท่านก็ต้องเข้าไป แต่เข้าไปกราบแบบนี้ไม่แน่
    อ้าวงั้นผมจะรู้ได้ยังไงหละอาจารย์ว่าพระองค์ไหนนายหลวงท่านทรงไปกราบด้วยความประสงค์ของท่านเอง.....
    และผมก็ได้นำบทสนทนานี้ไปเล่าต่อยังรุ่นน้องคนหนึ่ง พี่บอลได้ดูภาพที่พระเจ้าอยู่หัวท่านไปกราบหลวงตาบัวรึเปล่า
    ทำไมเหรอ หลวงตานะพี่บอลเชื่อ100%ตั้งนานแล้ว เอ่อ รู้น่า ได้สังเกตรึเปล่า ตอนพระเจ้าอยู่หัวกราบท่านเอาผ้ารองกราบออก เห็นเขาพูดกันว่า พระเจ้าอยู่หัวท่านบอกว่า พระระดับนี้ไม่ต้องใช้ผ้ารองกราบ อะไรเหรอผ้ารองกราบ อ้าวไม่ รู้เหรอ เวลาเจ้านาย(เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง) ท่านไปกราบพระจะต้องมีผ้ารองสำหรับกราบเพราะไม่ต้องการให้ไปกราบบนพื้นที่ ปรกติคนทั่วไปเดินไปมา อ้าวเหรอไม่เคยสังเกตเลย
    และผมก็ไม่ได้ไปหาภาพนั้นมาดูเพรารูปที่พิมพ์แจกส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่พระเจ้าอยูหัวท่านพนมมือสนทนากับหลวงตา
    จน เมื่อวานมีคนเอาไฟล์รูปหลวงตากับพระเจ้าอยู่หัวมาให้เพราะผมขอไว้จะเอาไป เข้ากรอบบูชา แต่เขาใจดีเอามาทุกไฟล์เลย ผมเลยได้เห็นภาพประวัติศาสตร์ และ หลักฐานที่ผมรอ(รึเปล่า)มานาน





    หลวงปู่ดู่กล่าวถึงหลวงตามหาบัว
    ที่มา : ร่มเงาพุทธฉัตร
    เขียนโดย : อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    จากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริฑัตตะเถระ ทำให้ผู้เขียนปรารถนาที่จะได้กราบนมัสการท่านอาจารย์มหาบัว เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็หาโอกาสยาก ได้แต่ส่งเงินไปร่วมทำบุญกับท่าน พร้อมกับเรียนถามข้อข้องใจของเรา ท่านมีเมตตาเขียนตอบเป็นลายมือขององค์ท่านเอง มีใจความว่า

    "มรรคผลนิพพาน ยังคงมีอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน
    ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติธรรม"

    เพื่อนผู้เขียนทำงานอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมเยือน ได้ถือโอกาสไปนมัสการได้ฟังธรรมจากท่าน ครั้งหนึ่ง ทางวิทยาเขตมีการทัศนศึกษา โดยพาคณะอาจารย์ที่บรรจุใหม่ไปดูงานตามที่ต่างๆ ทางภาคอีสาน เมื่อมาถึงจังหวัดอุดรธานี ผู้เขียนได้เรียนปรึกษากับผู้อำนวยการ ถึงการพาคณะอาจารย์ไปนมัสการ ทางท่านผู้อำนวยการไม่ขัดข้อง มีอาจารย์บางท่านไม่เห็นด้วย อ้างว่าจะทำให้เสียโปรแกรมอื่นๆ แต่ผู้อำนวยการยืนยันจะไป

    คณะอาจารย์ไปถึงวัดหลังจากท่านฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้วเห็นท่านนั่งบนศาลา หลังจาก ผ.อ.นำคณะอาจารย์กราบเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า

    "วันนี้เราก็มีธุระที่ต้องไปทำ แต่เห็นเป็นคณะใหญ่จะมากราบ
    อันที่จริงเราก็มีโปรแกรมเหมือนกันกับพวกท่าน
    ดังนั้น ถ้าโปรแกรมบางอันที่ไม่เหมาะสมก็ตัดไปเสียบ้าง"

    พวกอาจารย์นั่งเงียบ นึกถึงคำพูดที่ปรึกษากันก่อนจะมาวัดสุดท้ายท่านอาจารย์ได้มอบหนังสือให้ไปศึกษา โดยท่านพูดว่า

    "เอาหนังสือธรรมะไปอ่าน คือให้ศึกษาหรืออ่านใจของเรานะ"

    ครั้งหนึ่ง ไปพบท่านในช่วงบ่าย พระในวัดบอกว่า ท่านอาจารย์เข้าไปในกุฏิแล้ว ต้องไปกราบเรียนท่านก่อนว่า จะอนุญาตหรือไม่ ยังไม่ทันที่พระจะลุกออกไป ได้ยินเสียงกริ่งดัง พระบอกว่า เข้าไปได้ ท่านอนุญาตแล้ว
    พวกเรามองดูรอบๆ บริเวณ คิดว่าท่านคงมองมาจากช่องหน้าต่าง แต่ไม่น่าจะมองเห็น เพราะกุฏิของท่านห่างออกไป มีป่าไม้บดบังครั้งนี้ ท่านปรารภธรรมให้ฟังหลายอย่าง

    ตอนหนึ่งของการสนทนาท่านถามว่า เคยไปกราบหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่วัดถ้ำผาปู่นิมิต หรือไม่ ผู้เขียนเรียนท่านว่าเคยไป เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือที่จังหวัดเลย ท่านอาจารย์พูดขึ้นว่า

    "เราว่าหลวงปู่คำดี เป็นพระพิเศษ เคยตั้งใจจะไปหาท่านที่จังหวัดเลย
    พอไปถึง มีเณรมารอ บอกว่าหลวงปู่ให้มารอรับเรา"

    เอ๊ะ..ไม่ได้บอกท่านนะพอขึ้นไปถึงกุฏิท่านพูดว่า "ท่านมหามาก่อนที่ผมคิดไว้ ๒ ชั่วโมง"



    ผู้เขียนเคยนำภาพอาจารย์มหาบัว ไปให้หลวงปู่ดู่ อธิษฐานจิตท่านบอกว่า
    "ท่านเป็นพระอรหันต์นะองค์นี้"
    ผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่เคยได้ยินชื่อท่านหรือไม่หลวงปู่ตอบว่า
    "ได้ยินมานานแล้ว หลายสิบปี มีคนเขาเอารูปมาให้ดู ข้ารู้มานานแล้ว"

    ลูกศิษย์ของผู้เขียน มาขอพระพุทธรูปทรงเครื่องประดับด้วยพลอย เพื่อจะนำไปถวายท่าน ผู้เขียนไม่ขัดข้องบอกแต่เพียงว่า

    "เห็นว่าท่าน ไม่นิยมรับพระ เพราะท่านบอกว่ารก ไม่รู้จะไว้ที่ไหนเสี่ยงดูแล้วกัน ถ้าท่านไม่รับก็ไปถวายที่อื่นท่านมีเหตุผลของท่าน"
    ผู้เขียนได้แต่นำพระบรมสารีริกธาตุและดวงแก้วมหาจักรพรรดิ บรรจุในส่วนของพระเศียรมอบให้ลูกศิษย์กลับมาบอกว่า

    "วันที่ไปหา คนเยอะมาก ไม่มีโอกาสจะเข้าไปกราบนมัสการได้แต่นั่งรอตรงทางเดินสักพักหนึ่งหลวงตาท่าน เดินมาหาแล้วบอกว่านำพระมาให้เราหรือ เลยได้ถวายท่านบอกให้ไปไว้ที่ศาลา" พระที่ติดตามคงสงสัยในใจว่าพระอะไร หลวงตาท่านตอบขึ้นว่า
    "เขาเรียกว่าพระทรงเทวดา ท่านไม่รู้เหรอ"
    เมื่อไม่นานมานี้ รศ.นรีทิพย์ ทุ่งกาวี ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำภาพของท่านอาจารย์มหาบัวมามอบให้ผู้เขียน
    ซึ่งมีลายเซ็นของท่าน เขียนวาทะได้จับใจ ความว่า

    "ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลวงตาก็แก่มากแล้ว
    ห่วงลูกหลานไทยเรามากขึ้นทุกวัน"



    ธรรมเทศนาเรื่อง “อภิญญา” จากหนังสือแก่นพระพุทธศาสนา โดยหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่
    เมื่อได้ฌานแล้วบางครั้งก็จะได้ถึงขั้นอภิญญา ซึ่งเป็นความรู้พิเศษ ผู้ที่เวลาปฎิบัติเกิดนิมิตมากๆมักจะได้อภิญญา เมื่อมีเหตุการณ์ใดๆที่จะเกิดขึ้น ท่านมักจะรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ เช่น จะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้จะมีผู้มาหา เป็นต้น อภิญญาเกิดจากฌานสมาธิ อภิญญานี้ไม่แน่นอนมักจะเสื่อมได้ หรืออาจจะเป็นวิปลาสจะพูดไม่ตรงต่อธรรมวินัย เมื่อผู้ที่ได้อภิญญาแล้ว ถ้าไม่รู้ทัน ก็จะทำให้เกิดความหลงได้ ในสายของหลวงปู่มั่นนี้ ท่านที่ได้อภิญญาที่สำคัญ คือ ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านสามารถที่จะพูดกันได้กับท่านหลวงปู่มั่นเวลาท่านไปเยี่ยมกัน
    ท่านมักถามเป็นปัญหาว่า “เมื่อคืนรับแขกมากไหม”คำว่า “แขก” ในที่นี้ก็หมายถึงพวกเทพยดาในสวรรค์ชั้นต่างๆตลอดจนถึงพระอินทร์ที่ลงมากราบ มาเยี่ยม
    สำหรับท่านพระอาจารย์ฝั้น ท่านประสบเหตุมามาก ท่านเคยเล่าให้อาตมาหลายเรื่อง ถ้าเขียนเป็นหนังสือ ก็จะได้เล่มหนาทีเดียว
    ท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม ท่านเคยอยู่กับท่านอาจารย์ฝั้นหลายปี ท่านเคยเล่าให้อาตมาฟังว่า มีนกฮูกตัวหนึ่งมันร้องกุ๊กๆกู้ฮูก จับอยู่ที่ต้นไม้ใกล้กับที่พักของท่าน เมื่อได้เวลาประมาณ 2 ทุ่ม มันก็ร้องอยู่อย่างนั้นทุกคืน ท่านมีฌาน ท่านเลยเพ่งนกฮูก ปรากฏว่าพอท่านเพ่งไปเท่านั้นแหละ ขนของนกฮูกก็หลุดกระจุยเลย และก็มีเสียงตกลงดิน ท่านก็คิดว่ามันจะเป็นหรือตายอย่างไรหนอ ท่านกลัวจะเป็นโทษ ท่านเดินไปค้นหาซากของมัน ก็ไม่ปรากฏเห็น

    หลวงปู่มั่นท่านก็ประสบเหตุทำนองนี้เหมือนกัน คือมีบ่างใหญ่ตัวหนึ่งมาร้องอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆกับท่านทุกวัน พอท่านเพ่งไปที่บ่าง บ่างก็ตกดินเลย แต่ปรากฏว่าไม่ตายหลวงปู่มั่นท่านว่า หลังจากที่ผมเพ่งวันนั้นแล้ว ไม่ปรากฏเห็นบ่างตัวนั้นมาร้องอีก แสดงว่านกหรือบ่างอาจจะกระเทือนจิตใจของมันเหมือนกัน

    พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่แตกฉานในธัมมปฏิสัมภิทา แตกฉานในการพูด การแสดงธรรม การแต่งหนังสือ โดย เฉพาะการแต่งหนังสือนั้น ท่านได้เขียนเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไว้ได้อย่างละเอียดมาก ตลอดทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับธรรมปฎิบัติอีกหลายเล่ม

    อย่างท่านเจ้าคุณนิโรธ ฯ (พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี) ก็เคยได้ไปกราบเยี่ยมท่าน พักอยู่กับท่านครั้งละหลายๆวัน ท่านให้เคยให้นโยบายเทศน์ให้ฟัง แต่ท่านไม่ได้เล่าเกี่ยวกับอภิญญา โดยท่านมักจะปกปิด ไม่เล่าให้ฟังทั่วๆไป

    ท่านหลวงปู่มั่น หรือท่านอาจารย์ฝั้นก็เช่นเดียวกัน ท่านก็จะพูดให้ผู้ที่ไว้ใจได้ฟังเท่านั้น ในขณะที่มีพระเณรญาติโยมมากๆ ท่านก็จะไม่พูด เพราะท่านว่าถ้าพูดไปเขาไม่เชื่อ เกรงว่าเขาจะหลบหลู่ดูหมิ่น จะเป็นบาปเป็นกรรมแก่พวกเขา หลวงปู่มั่นท่านจะหลบหลีกหมู่(เพื่อน) ไปธุดงค์องค์เดียวหรือสองสามองค์เป็นอย่างมาก บรรดาหมู่คณะหรือผู้ปฎิบัติเกิดความรู้ต่างๆหรือมีปัญหาที่จะต้องกราบเรียน ถาม ก็จะต้องออกตามหาท่านเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามท่านพบเสียด้วย

    บุคคลที่มีปัญญาแก่กล้า ไตรลักษณ์จะเกิดในปฐมฌานหรือทุติยฌาน ส่วนบุคคลที่มีปัญญาขนาดกลาง ไตรลักษณ์จะเกิดเมื่อสำเร็จฌาน 4 แล้ว บุคคลใดที่สามารถสำเร็จฌาน 4 ก็มักจะไม่เกิดความกำหนัดหรือที่เรียกว่า จิตตกกระแสธรรม มันจะเป็นของมันเอง เรียกว่าเป็นผลของฌานสมาธิก็ได้ ไตรลักษณ์ นี้จะเป็นเครื่องตัดสินถูกหรือผิด จะเป็นสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตามหรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิดแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นมิจฉาสมาธิ ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด เมื่อพิจารณาขันธ์ 5 ธาตุ 4 เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว จนเกิดญาณ ความรู้พิเศษ เมื่อเกิดความรู้พิเศษแล้ว วิปัสสนูกิเลสหรือวิปลาส ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสิ่งใดหรือความรู้ใดเกิดขึ้นก็จะเอาไตรลักษณ์เป็นเครื่องตัดสิน

    การพิจารณาให้ถือเอารู้รูปกายตามความเป็นจริง รู้เวทนาตามความเป็นจริง รู้จิตตามความเป็นจริง ให้ยึดถือความรู้นี้เป็นหลัก ความรู้อย่างอื่นไม่สำคัญ ถึงจะเกิดอภิญญารู้ในเหตุผลต่างๆ ครั้งแรก ๆ ก็อาจเป็นจริง แต่ถ้าเรายึดถือในสิ่งเหล่านั้นต่อไป ก็จะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงเรา ท่านจึงห้ามไม่ให้ถือเอานิมิตเป็นสิ่งสำคัญ ท่านจึงว่า ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิด ก็ยังเป็นมิจฉาสมาธิต้องทำการศึกษาและเร่งความเพียรยิ่งขึ้นไป

    พระภิกษุรูปใดเด็ดเดี่ยว ชอบไปบำเพ็ญภาวนารูปเดียว มักจะได้อภิญญารู้เหตุผลต่างๆแม้แต่ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ยังมีคุณสมบัติไม่เสมอเหมือนกัน ตัวอย่างเช่นพระอรหันต์ที่สำเร็จอย่างแห้งแล้ง แสดงธรรมสอนผู้อื่นไม่ได้ไม่มีปฎิภาณโวหาร
    แต่ก็สามารถสิ้นอาสวะกิเลส เรียกพระอรหันต์จำพวกนี้ว่า “สุกขวิปัสสโก” ถ้าพูดถึงความสุขของผู้ที่สิ้นอาสวะกิเลสแล้ว ก็เหมือนกันหมด มีความสุขความสบายเท่าเทียมกัน เป็นพระนิพพานเหมือนกันหมด การที่ท่านผู้ใดจะได้วิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทา 4 นั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของแต่ละท่านด้วย

    ผู้ที่ปฎิบัติเพียง2-3 ครั้ง ก็สามารถที่ทำจิตให้สงบได้ มีความรู้บาป บุญคุณโทษ ทำให้เพิ่มความเชื่อความเลื่อมใส จิตใจเยือกเย็นได้รับความสุข นี่ก็เป็นเพราะอำนาจบารมีเก่าที่ได้สะสมมา สิ่งที่ควรตั้งความปรารถนาให้เป็นอุปนิสัย คือ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าบุคคลใดมีอุปนิสัยครบทั้ง 3 ประการนี้แล้ว หากเกิดภพชาติใดๆได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมพระเทศนาก็มักจะได้บรรลุผลในการฟัง ในครั้งพุทธกาล มีท่านที่สำเร็จจากการฟังเป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง แสดงว่าท่านเหล่านี้เคยบำเพ็ญสร้างสมอบรมมา ตั้งแต่หนึ่งชาติขึ้นไป ส่วนผู้ที่ปรารถนาใหญ่ เช่นปรารถนาเป็นอัครสาวก ต้องเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสร้างสมบารมีถึงแสนชาติ อย่างพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าได้บำเพ็ญติดต่อกัน 1-3 ชาติ ก็จะเป็นอุปนิสัย ถ้าได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ ก็จะทำสมาธิได้ง่าย หรือเจริญฌานได้ง่าย ขอให้พวกท่านจงทำกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถปฎิบัติได้เหมือนกัน เมื่อตั้งใจทำแล้ว จะไร้ผลเสียเลยก็ไม่มี อย่างต่ำก็เป็นการเพิ่มบุญวาสนาบารมีของเราให้แก่กล้าขึ้น พูดมาก็สมควรแก่เวลา........

    ที่มา FWmail

     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เหรียญหลวงตามหาบัวรุ่น"เจดีย์มหามงคล"<script type="text/javascript"><![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "2655-0-28302500-1246087544", parseInt("613"), parseInt("427"), "50.68กิโลไบต์" ); //]]> </script>

    <table style="width: auto; display: inline;" id="ipb-attach-table-2656-0-28349800-1246087544" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>

    [​IMG]

    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ fix_linked_image_sizes_attach_thumb( "2656-0-28349800-1246087544", parseInt("611"), parseInt("369"), "41.57กิโลไบต์" ); //]]> </script>
    [​IMG]

    เหรียญหลวงตามหาบัวรุ่น"เจดีย์มหามงคล"

    เหรียญรุ่นนี้ประวัติจากหลายแหล่งมีความขัดแย้งกันบคือ บ้างก็ว่าหลวงตาเต็มใจ
    บ้างก็ว่า ผู้สร้างถูกหลวงตาไล่ลงแต่สุดท้ายหลวงพ่อทุยก็นำขึ้นไปถวายหลวงตาอธิษฐานได้
    ผมเองไม่อาจสืบได้ว่าเป็นอย่างไรแน่แม้จะมีญาติ
    อยู่ภาวนาประจำที่วัดป่าบ้านตาด เพราะเป็นการภายในจริงๆ
    การที่หลวงตาจะอธิษฐานอะไรให้ใคร ไม่มีหรอกครับที่มีพยานตอนอธิษฐานเป็นสิบ
    ยกเว้นพิธี60ปีธรรมศาสตร์ พระกริ่งกองบิน พิธีวัดเจดีย์หลวง ฯลฯ
    ถ้าเป็นรูปท่านเป็นการภายในทั้งสิ้น
    แม้แต่พระในวัดเองบางองค์ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามีเหรียญรุ่นนี้(ตอนแจกใหม่ๆ1-2เดือนแรก)

    แต่จากข่าวทุกแหล่งตรงกันว่า หลวงตาเสก ให้แล้วแน่นอน100%
    ที่ใช้คำว่าเสกเพราะ หลวงพ่ออุทัย สิริธโร วัดเขาใหญ่เจริญธรรม(เดิมอยู่วัดภูวัว)
    เป็นผู้กล่าวไว้ตอนแจกว่า

    "นี้เหรียญหลวงตา เก็บไว้ดีๆนะ ของค้ำของคูณ(ค้ำชูอุดหนุน)
    ขออนุญาตหลวงตา หลวงตาอนุญาต แล้วก็เสกให้ด้วย"


    ผมยืนยันว่า หลวงพ่ออุทัยพูดเองจริงๆและท่านใช้คำว่า เสก ไม่ใช่แผ่เมตตาหรืออธิษฐานจิต
    และที่หลวงปู่ฟักท่านก็เลือกแจก เอาเป็นว่าจะขอพระหินหยกจากท่านง่ายกว่าเหรียญรุ่นนี้เยอะครับ
    หรือหลวงปู่ลี ผาแดงที่ สั่งให้ตามทหารมารับพระรุ่นนี้จากท่าน
    ดังนั้นพระรุ่นนี้ที่อยู่กับท่านจึงตกอยู่กับทหารเป็นส่วนมาก

    ทุกแหล่งข่าวตรงกันว่า หลวงพ่อทุย วัดดานวิเวก
    เป็นผู้นำขึ้นไปถวายหลวงตาอธิษฐาน
    (ที่จริงตั้งแต่การสร้างแล้ว ที่หลวงตาสั่งให้ท่านทุยเป็นผู้กำกับดูแลจะได้ไม่รั่วไห
    ล)จากหนึ่งในหลายแหล่งข่าวกล่าวว่า

    ตอนนำขึ้นไป หลวงตาท่านสั้งให้เอาเข้าไปไว้ในห้องนอนท่าน
    หลังจากเสกเสร็จมีแต่คนรุมจะขอหลวงตาท่านเลยไล่โยมลงจากกุฏิ
    และท่านได้บอกหลวงพ่อทุยว่า

    ผมตั้งใจอธิษฐานให้ หากใครเอาไปเคารพกราบไหว้บูชา
    ก็จะมีสิริมงคลเกิดขึ้น หากใครเอาไปซื้อไปขายจะหาความเป็นมงคลไม่ได้เลย
    เรื่ิองการแจกให้ท่าน(ทุย)เป็นผู้พิจารณานะ


    พระชุดนี้กระจายไปในสายกรรมฐานเป็นส่วนมาก แต่ก็ได้รับแจกแต่ละองค์น้อยมาก
    มากที่สุดมี5องค์คือ
    หลวงพ่อทุย วัดดานวิเวก
    หลวงพ่อสุธรรม วัดหนองไผ่
    หลวงพ่ออินทร์ถวาย วัดป่านาคำน้อย
    หลวงปู่ลี วัดผาแดง
    หลวงพ่อวันชัย วัดภูสังโฆ
    องค์ละ2,000เหรียญ(พระพุทธและรูปหลวงตาอย่าละ1,000)

    นอกนั้นได้ตั้งแต่100-1,000เหรียญ

    และผมเชื่อว่าพระชุดนี้ต่อไปจะเป็นของหลักของหลวงตาอย่างแน่นอน
    แค่ตอนนี้ราคาก็ถีบตัวสูงขึ้นจนน่าใจหายแล้วครับ
    ใครมีก็เก็บเงียบ
    เห็นประมูลกันในwebอื่น ขึ้นไปเหรียญละ10,000บาท

    ขอให้ทุกท่านที่ศรัทธาในหลวงตาบัวโชคดีได้รับเหรียญนี้ทุกคน

    ����­��ǧ����Һ�����"਴���������" - �ǹ��ѧ�ͷ���

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2009
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ไหนๆ ก็ลงเรื่องของหลวงตาฯ แล้ว ขอต่ออีกหน่อยสำหรับพระชุด "ประทายข้าวเปลือก" ที่เป็นมหาบุญใหญ่ และมหาทาน เหมือนกับทานเรื่องช่วยสงฆ์อาพาธในกระทู้นี้ และภาพพระผงทรงกลมที่ผู้โพสท์ใน เชียงใหม่ - หน้าแรก บอกว่าแปลกดี อันบารมีแห่งทานใหญ่ทั้งหลายนั้น ย่อมเกิดปีติในหลายๆ ด้าน ตามความเข้าใจของผม การอธิษฐานจิตในวัตถุมงคลชุดนี้ น่าจะเปี่ยมไปด้วยปีติของหลวงตาฯ ที่จะสงเคราะห์โลก และปวงสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังเรื่ีองของน้องนุ่นข้างต้น ลองมาดูวัตถุมงคลของท่านในชุด "ประทายข้าวเปลือก" กันครับ และพร้อมนี้คณะกรรมการทุนนิธิฯ ขอน้อมจิตคารวะแด่หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาดด้วยภาพดอกบัวครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มาช่วยหลวงปู่ท่อนสร้างโรงอาหารของโรงเรียนโนนสูง อุดรฯ
    กันมั๊ย

    [​IMG]




    [​IMG]

    ทางโรงเรียนโนนสูงพิทยาคาร ยังเหลือวัตถุมงคลจำนวนหนึ่งให้บูชา
    เพื่อสร้างโต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร จำนวน 80 ชุด ชุดละ 2500 บาท (รวมโต๊ะ และเก้าอี้)

    สนใจร่วมบริจาคทำบุญได้ที่
    หมายเลขโทรศัพท์
    0878538890 (อ.ประสิทธิ์ อุ่นมณี)
    0834532688 (อ.ณรงค์ อาจสุวรรณ)

    *** วัตถุมงคล บูชาเหรียญละ 99 บาท (เหรียญทองแดง)
    *** ค่าส่ง 50 บาท



    สนใจเข้าไปดูที่
    ประมวลภาพ การสร้างโรงอาหาร โรงเรียนโน&#3

     
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ได้ฝากเงินให้กับพี่นายสติ เพื่อนำเงินเข้าบัญชีทุนนิธิฯโดยมีรายนามดังนี้ครับ
    คุณอนันต์ คุณสุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000บาท
    คุณสงวนชัย อัครวิทยาภูมิ 1000 บาท
    คุณวิศัลย์ ณ ระนอง 1000 บาท
    คุณปิยะวัฒน์ วรัทเศรษฐ์ 1000บาท
    คุณนาลดา อมรพัชระ และบุตร 400บาท
    คุณพิชญ์ธนัน อนันธรสิริ และเพื่อน 2400 บาท
    คุณชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ 200 บาท
    คุณพลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ 2000 บาท

    รวมเงินทำบุญในส่วนสงฆ์อาพาธ 9000 บาท

    และบริจาคร่วมอุปสมบทพระจำนวน4รูปที่วัดเนินตอง
    คุณสงวนชัย อัครวิทยาภูมิ 5000 บาท
    คุณพลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    คุณนาลดา อมรพัชระและบุตร 100 บาท
    รวมเงินทำบุญส่วนนี้ 6100 บาท

    รวมเงินทั้งหมด 15100 บาท

    โมทนากับทุกๆท่านครับ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    งานกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ที่ รพ.สงฆ์ คงไม่มีอะไรมาก เพราะช่วงนี้หลายอย่างยังปิดอยู่ แต่หลังจากวันพรุ่งนี้ น่าจะมีอะไรที่มาเล่าสู่ให้ฟังเยอะมาก เพราะงานบุญที่เราหมั่นทำ หมั่นแนะนำ และแสวงหาทางบุญมาในกระทู้นี้ ได้เริ่มส่งผลในทางที่ดีกับหลายๆ คน แต่หลายคนต้องรอวาระบุญเหมือนกัน เหมือนน้ำที่ต้องค่อยๆ เติม จึงจะเต็ม งานสะสมบุญเป็นงานที่ต้องใช้เวลาค่อยๆ ทำ ค่อยๆ สาน ค่อยๆ ต่อ ทำบุญทีไรอย่าลืมนึกถึงพระที่เรานับถือมาให้ช่วยเป็นพยานบุญและโมทนาบุญให้เรา รวมถึงแผ่ส่วนบุญหลังจากทำบุญทุกครั้งด้วยก็จะดีมาก ประมาณการ การทำบุญของ รพ.สงฆ์ในวันพรุ่งนี้มีดังนี้

    1. ถวายสังฆทานภัตตาหารเช้าแด่ พระสงฆ์ 180 รูปๆ ละ 30.- เป็นเงิน 5,400.-
    2. ถวายปัจจัยในการซื้อเลือด 7,500.-
    3. ถวายปัจจัยในการซื้อเวชภัณฑ์เพื่อถวายเข้าส่วนกลางของ รพ. 7,500.-

    รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,400.-

    และเมื่อรวมกิจกรรมในเดือนมิถุนายน 2552 นี้ จะมีรายการถวายปัจจัย ต่างๆ ดังนี้

    1. ถวายปัจจัยรักษาหลวงปู่เยี่ยม หรือหลวงปู่ศรีโรจน์ วัดประดู่ทรงธรรม จ.อยุธยา 10,000.-
    2. เป็นเจ้าภาพงานบวชพระวัดเนินตอง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จำนวน 4 รูป 20,000.-
    3. บริจาคปัจจัยไปยัง รพ.ภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง 35,000.-
    4. บริจาคปัจจัยและถวายภัตตาหารเช้าที่ รพ.สงฆ์ สำหรับพระสงฆ์อาพาธ 180.- รูป 20,400.-

    นับเป็นเงินบริจาคทั้งสิ้น 85,400.- (แปดหมื่นห้าพันสี่ร้อยบาทถ้วน)

    [​IMG]


     
  20. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ขออนุญาติใส่รูปการทำบุญประจำเดือนมิถุนายน 2552 ก่อนครับ

    1. การตระเตรียมภัตราหาร และของหวานสำหรับพระสงฆ์ครับ

    [​IMG]

    ซึ่งเดือนนี้ Upgrade ภัตราหารได้ดีจริงๆๆ ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC11379.JPG
      SDC11379.JPG
      ขนาดไฟล์:
      130.2 KB
      เปิดดู:
      1,451
    • SDC11384.JPG
      SDC11384.JPG
      ขนาดไฟล์:
      121.5 KB
      เปิดดู:
      1,419
    • SDC11386.JPG
      SDC11386.JPG
      ขนาดไฟล์:
      99.1 KB
      เปิดดู:
      1,366
    • SDC11387.JPG
      SDC11387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      103.1 KB
      เปิดดู:
      1,363
    • SDC11389.JPG
      SDC11389.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.1 KB
      เปิดดู:
      1,355
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...