ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขอโมทนาและสาธุบุญครับ
    [​IMG]

     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขอโมทนาและสาธุบุญครับ


    [​IMG]

    หนูเล็กโมทนาด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2008
  3. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309

    ชื่อเวป อะไรหรอครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระปางซ่อนหาที่จะนำไปให้บูชากันเท่าที่ดูแล้วจะมีน้อย คงเหลือแต่อีกพิมพ์หนึ่งที่อธิษฐานฤทธิ์มาพร้อมกัน อิทธิคุณเสมอกัน ทั้ง ท่าน อ.ประถม และพี่ใหญ่รับรองคุณภาพเป็นอย่างเดียวกัน ครั้งสุดท้ายได้สั่งเจ้าของพระให้เก็บไว้ทั้งหมดประมาณ 26 องค์ หากเจ้าของพระยังรักษาคำสัญญา จะนำมาให้บูชาให้หมดในงานครับ เนื้อในจากพระที่ให้กับคุณโสระไว้แต่ทำตกพื้น วันนั้นได้ดูกันทุกคน เห็นแล้วตะลึง งามมาก เป็นก้อนสีทองคำสุกปลั่ง (ในรูปของคุณโสระแต่งสีมากไป จึงมองไม่ชัด) ราคาพระไม่กี่สิบแต่ผสมโลหะ สีทองคำ หรือจะเป็นทองคำจริงก็ไม่ทราบได้ แต่ให้บริจาคร้อยนึง ส่วนต่างเข้าทุนนิธิฯ ทำบุญให้หมดมีสิทธิได้คนละองค์ไม่รับฝากเพื่อน ที่เหลือผมเก็บเอง พระที่ทั้ง 2 ท่านรับรอง ถึงขนาด อ.ประถมสั่งแล้วสั่งอีก "นี่.... ต้องเอามาให้ปู๋ 1 องค์ให้ได้น๊ะ" แถมพี่ใหญ่สำทับอีก "พี่เอาด้วยวุ้ย" ก็น่าคิดเหมือนกันกับพระหลักสิบกองในกระบะเฉยๆ ไร้คนสนใจ แต่ทำไมถึงแรงมากได้ทั้งบู๊และบุ๋นครบเครื่อง แถมเป็นโลหะเมฆสิทธิ์อีกต่างหากสมัยนี้แทบจะหาคนทำได้ยากยิ่งคิดว่ายังไงล่ะ......ใครอยากได้ วันที่ 9/11 เจอกัน
     
  5. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    โห..โทรมเกินไป เจ้าของพระใช้พระไม่รักษาน้ำใจองค์ผุ้สร้างและองค์ผู้อธิษฐานจิตเดิมท่านเลย อย่างนี้ไม่เอามาให้ทำบุญหรอกครับ เสียน้ำใจกันเปล่าๆ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๘ | ทรงทรมานนาคราชเพื่อโปรดชฎิล
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๘ :ทรงทรมานนาคราชเพื่อโปรดชฎิล

    ทรงทรมานนาคราชร้าย ขดกายพญานาคใส่บาตร
    ให้ชฎิลดู ชฎิลนึกเลื่อมใส แต่ยังไม่ละทิฏฐิ

    อุรุเวลกัสสป ชฎิลพี่ชายใหญ่ เมื่อนึกในใจว่า พระพุทธเจ้าทรงอวดดีที่ไม่กลัวอันตราย จึงปล่อยให้พระพุทธองค์พำนักในโรงไฟ เพื่อหวังให้ถูกพญานาคทำร้ายในโรงไฟ

    ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังโรงไฟนั้น ทรงประทับนั่งดำรงพระสติต่อพระกัมมัฏฐานภาวนา ฝ่ายพญานาคเห็นพระบรมศาสดาเสด็จเข้ามาประทับในที่นั้น ก็ไม่พอใจโกรธแค้น จึงพ่นพิษตลบไป ขณะนั้นพระบรมศาสดาก็ทรงพระดำริว่า ควรที่ตถาคตจะแสดงอิทธานุภาพให้เป็นควันไปสัมผัสมังสฉวีและเอ็นอัฐิแห่งพญานาคนี้ ระงับเดชพญานาคให้เหือดหาย แล้วจึงทรงสำแดงอิทธาภิสังขารดังพระดำรินั้น

    [​IMG]

    พญานาคมิอาจจะอดกลั้นซึ่งความพิโรธได้ ก็บังหวนควันพ่นพิษเป็นเพลิงพลุ่งโพลงขึ้น พระบรมศาสดาก็สำแดงเตโชกสิณสมาบัติ บันดาลเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ และเพลิงทั้งสองฝ่ายก็บังเกิดแสงแดงสว่างขึ้น ดุจจะเผาผลาญโรงไฟนั้นให้เป็นเถ้าธุลี เหล่าชฎิลทั้งหลายที่แวดล้อมโรงไฟนั้นอยู่ ต่างเจรจากันว่า พระสมณะนี้มีสิริรูปงามยิ่งนัก เสียดายที่เธอจะมาวอดวายเสียด้วยพิษแห่งพญานาคในที่นี้

    [​IMG]

    ครั้นล่วงเข้าเวลารุ่งเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าก็กำจัดฤทธิเดชพญานาคให้อันตรธานหาย บันดาลให้นาคราชนั้นขดกายลงในบาตร แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสป ตรัสบอกว่า พญานาคนี้สิ้นฤทธิ์เดชแล้ว อุรุเวลกัสสปเห็นดังนั้นก็ดำริว่า พระสมณะนี้มีอานุภาพมาก ระงับเสียซึ่งฤทธิ์พญานาคให้อันตรธานพ่ายแพ้ไปได้ แต่ถึงดังนั้นไซร้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา เพียงมีจิตเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ จึงกล่าวว่าข้าแต่สมณะ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ณ อาศรมของข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหารให้ฉันทุกวันเป็นนิตย์

     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    เจริญอิทธิบาท ๔ ในการดูลม



    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    ( ท่านพ่อลี ธมฺมธโร )
    การทำสมาธิ ต้องประกอบด้วย อิทธิบาท ๔ ดังนี้
    ๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในลมหายใจของเรา ตามดูว่าเวลาที่เราหายใจเข้า เราหายใจเอาอะไรเข้าไปบ้าง ถ้าหายใจเข้าไปไม่ออก ก็ต้องตาย หายใจออกไม่กลับเข้าก็ตาย , มองดูอยู่อย่างนี้ ไม่เอาใจไปดูอย่างอื่น
    ๒. วิริยะ เป็นผู้ขยันหมั่นเพียรในกิจการหายใจของเรา ต้องทำความตั้งใจว่าเราจะเป็นผู้หายใจเข้า เราจะเป็นผู้หายใจออก เราจะให้มันหายใจยาว เราจะให้มันหายใจสั้น เราจะให้หนัก เราจะให้เบา เราจะให้เย็น เราจะให้ร้อน ฯลฯ เราจะต้องเป็นเจ้าของลมหายใจ
    ๓. จิตตะ เอาจิตเพ่งจดจ่ออยู่กับลมหายใจ ดูลมภายนอกที่ มันเข้าไปเชื่อมต่อประสานกับลมภายใน ลมเบื้องสูง ท่ามกลาง เบื้องต่ำ ลมในทรวงอกมีปอด หัวใจ ซี่โครง กระดูกสันหลัง ลมในช่องท้อง มีกระเพาะอาหาร ตับไต ไส้ พุง ลมที่ออกตามปลายมือ ปลายเท้า ตลอดจนทุกขุมขน
    ๔. วิมังสา ใคร่ครวญ สำรวจ ตรวจดูว่าลมที่เข้าไปเลี้ยงร่างกาย เรานั่น เต็มหรือพร่อง สะดวกหรือไม่สะดวก มีส่วนขัดข้องที่ควร จะปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง ดูลักษณะ อาการ ความหวั่นไหวของลมภายนอกที่เข้าไปกระทบกับลมภายในว่ามันกระเทือนทั่วถึงกันหรือไม่ ลมที่เข้าไปเลี้ยงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟนั้น มีลักษณะเกิดขึ้น ทรงอยู่และเสื่อมสลายไปอย่างไร
    ทั้งหมดนี้ ขัดเข้าใน รูปกัมมัฏฐาน และเป็นตัว มหาสติปัฏฐาน ด้วย จิตที่ประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ พร้อมบริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ ก็จะเกิดความสำเร็จรูปในทางจิตให้ผลถึงโลกุตตระ เป็นโสดา สกิทา คา อนาคา และอรหันต์ สำเร็จรูปทางกายให้ผลในการระงับเวทนา


    ขอขอบคุณ
    http://www.yajai.com/cat-7/cat-66/05-1/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309


    ไปเจอกันที่ไหนหรอครับผมไปด้วยแล้วผมจะเอาเงินไปร่วมบุญด้วยครับ
     
  11. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    และจากซอยวัดชมนิมิตรไปมุลนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ นั่งรถหรือเดินทางไปอย่างไรมั่งครับผมอยากไป
     
  12. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
    ครั้งหนึ่ง น่าจะในราวประมาณปี ๒๕๓๐ มีรถบัสเข้ามาจอดที่วัดสะแก จากนั้นก็มีคนแต่งชุดขาวจำนวนหลายคนเดินออกมา
    ตรงไปที่กุฎิหลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นมีลูกศิษย์หนุ่มสาวอยู่ไม่กี่คน

    คนชุดขาวเหล่านั้น จะว่ามากราบนมัสการท่านก็หามิได้ เพราะเมื่อมาถึงที่หน้ากุฏิท่านแล้ว ก็พากันนั่งหลับตา หันไปทางหลวงปู่
    ท่าทางเหมือนจะพยายามนั่งสมาธิเพ่งใส่หลวงปู่ สักครู่คนที่เป็นหัวหน้าก็มานั่งรวมอยู่ด้วย

    ลูกศิษย์หลวงปู่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็งง ๆ ไม่เข้าใจว่าพวกเขามาทำไมกัน แล้วทำไมไม่พูดไม่จา
    เอาแต่นั่งประจัญหน้ากับหลวงปู่ จากนั้นไม่นานนัก ผู้ที่ดูว่าจะเป็นหัวหน้าคณะ ก็ลุกเดินออกไปอาเจียนที่หน้าบันไดทางขึ้น
    จากนั้น สานุศิษย์ที่เหลือของเขาก็พากันลุกเดินไปขึ้นรถลูกศิษย์หลวงปู่ มาเข้าใจในภายหลังว่าพวกคณะรถบัสที่มานี่
    เขาเที่ยวตระเวนลองของ ลองกำลังจิตครูบาอาจารย์ พอดีมาเจอของจริง ก็เลยแพ้ภัยตัวเอง
    ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปปรามาสครูอาจารย์ที่ไหนต่ออีก แต่อย่างน้อย จากประสบการณ์ที่ได้มาพบหลวงปู่
    ก็น่าจะทำให้เขาสำนึกขึ้นบ้างว่า "ของจริงยังมีอยู่"

    ขอขอบคุณ
    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=6495
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2008
  13. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ถ้าหากต้องการไปร่วมทำบุญและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ขอเชิญที่โรงพยาบาลสงฆ์ก่อน 7.30 นะครับ
    หรือจะนำ อาหาร-ขนม-นม มาสมทบเพิ่มก็ยินดีครับ

    การเดินทางผมไม่แน่ใจว่านั่งรถสายอะไรนะครับแต่เดินทางมาอนุสาวรีย์ชัยฯและนั่ง TAXI ไม่เกิน 35-40 บ.ครับ
    หรือลองโทรถาม 184 ดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2008
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
    ธรรมะจากโรงพยาบาล

    โรงพยาบาลเป็นสถานที่บำบัดทุกข์ของมนุษย์เรา อย่างน้อย 3 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระสูตรสำคัญหลายเรื่องคือ

    ชาติทุกข์ - ความเดือนร้อนเวลาเกิด

    ชราทุกข์ - ความเดือนร้อนเมื่อความแก่มาถึง และ

    พยาธิทุกข์ - ความเดือนร้อนในยามเจ็บไข้ได้ป่วย

    หลวงพ่อเคยบอกกับผู้เขียนว่า ที่โรงพยาบาลนั่นแหละมีของดีเยอะเป็นเหมือนโรงเรียน เวลาไปอย่าลืมดูตัวเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในนั้นหมด

    ดูข้างนอกแล้วย้อนมาดูตัวเรา เหมือนกันไหม

    ขอขอบคุณ
    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=250
     
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]

    ที่มาหนังสือ
    พระผู้จุดประทีปในดวงใจ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Shinray01 [​IMG]
    และจากซอยวัดชมนิมิตรไปมุลนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ นั่งรถหรือเดินทางไปอย่างไรมั่งครับผมอยากไป

    ถ้าหากต้องการไปร่วมทำบุญและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ขอเชิญที่โรงพยาบาลสงฆ์ก่อน 7.30 นะครับ
    หรือจะนำ อาหาร-ขนม-นม มาสมทบเพิ่มก็ยินดีครับ

    การเดินทางผมไม่แน่ใจว่านั่งรถสายอะไรนะครับแต่เดินทางมาอนุสาวรีย์ชัยฯและนั่ง TAXI ไม่เกิน 35-40 บ.ครับ
    หรือลองโทรถาม 184 ดูครับ




    นั่นคือคำตอบครับ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในเรื่องที่ถามมารู้สึกเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ 2 แล้ว ที่ผมยังไม่ได้ตอบ

    เรื่องที่ 1. เรื่องเวบของหลวงปู่ใหญ่ที่ตั้งใหม่ ยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่คิดไว้แล้ว ถ้าจดทะเบียนเมื่อไร จะแจ้งให้ทราบทันทีครับ
    เรื่องที่ 2. ก่อนอื่นต้องขอขยายความคำว่า "มูลนิธิ" กับ "ทุนนิธิ" ก่อน เพราะทั้ง 2 คำนี้ ทั้งในแง่นิติกรรมและความหมายต่างกัน ดูตามพจนานุกรมเลยครับ

    มูลนิธิ[มูนละ-, มูน-] (กฎ) น. ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะสําหรับวัตถุประสงค์ เพื่อการกุศลสาธารณะการศาสนา ศิลปะวิทยาศาสตร์วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน และได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว. (ป. มูล + นิธิ).


    นิธิ(แบบ) น. ขุมทรัพย์. (ป., ส.).
    ทุนน. ของเดิมหรือเงินเดิมที่มีไว้ ลงไว้ กําหนดไว้ จัดตั้งไว้ เพื่อประโยชน์ให้งอกงาม เช่น มีความรู้เป็นทุน มีเงินเป็นทุน; เงินหรือทรัพย์สินอื่น ๆที่ตั้งไว้สําหรับดําเนินกิจการเพื่อหาผลประโยชน์.

    ทุนนิธิ จึงเป็นคำที่สนธิกันระหว่างคำว่า "ทุน" และ "นิธิ" ตามนัยข้างต้นครับ

    โดยทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร นี้ มีสถานภาพมิได้เป็นนิติบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น จึงต่างกับมูลนิธิ ที่เป็นนิติบุคคล มีกระบวนการทางกฏหมายยุ่งยาก เกินกว่าที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจะทำได้โดยง่าย ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงได้ลงมติจัดตั้งเป็นทุนนิธิแทน การจัดตั้งทุนนิธิฯ นี้จึงมีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 3 ข้อ (ตามข้อบังคับของทุนนิธิที่มีวัตถุของการก่อตั้งในเริ่มแรกในข้อ 4. ตามข้อ 4.1-4.3 ดังนี้)

    4.1 สงเคราะห์สงฆ์อาพาธที่ต้องการความช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาลตามโรงพยาบาลต่างๆ
    4.2 ช่วยเหลือการสร้าง หรือการทำศาสนกิจ ตามวัดวาอารามต่างๆ ในบวรพุทธศาสนา โดยการถวายปัจจัยในการช่วยเหลือตามรายกรณี
    4.3 ช่วยเหลือในกิจกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นตามที่กรรมการของทุนนิธิส่วนใหญ่ที่จะมีขึ้นในภายหน้าได้พิจารณาเห็นสมควร

    โดยที่ทำการของทุนนิธิฯ ในการก่อตั้งในขณะนั้นใช้บ้านของผมเองเป็นที่ทำการในการติดต่อและส่งเอกสาร ส่วนในการประชุมในแต่ละครั้ง จะใช้บ้านของพี่ใหญ่ ซึ่งเป็นรองประธานที่ปรึกษา (ประธานฯ คือท่าน อ.ประถมฯ) ในซอยพัฒนาการ 78 เป็นที่ประชุมเนื่องจากสถานที่กว้างขวางกว่า และที่สำคัญก็คือท่านเป็นครูอาจารย์เรา และเป็นผู้ใหญ่ เราจึงควรไปหาท่านจึงจะเหมาะสมกว่า ดังนั้น จึงเป็นคำตอบว่า จะไปมูลนิธิฯ ไปยังไง ก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกันครับ เอาเป็นว่า เราตั้งหลักการทำกิจกรรมที่โรงพยาบาลสงฆ์ ตรงถนนศรีอยุธยา ดีกว่าครับ สำหรับคุณที่อยู่แถวพระประแดงก็นั่งรถเมล์สาย 140 จากวัดสน ลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วนั่งแทกซี่มาที่ รพ.สงฆ์เลยก็น่าจะสะดวกครับ อีกอย่างหนึ่งอย่าลืมก็คือ การทำกิจกรรมในแต่ละครั้งนั้น มาเพื่อทำบุญทำกุศลมาบริจาคและถวายสังฆทานอาหารให้พระสงฆ์ที่อาพาธ ส่วนการเรียนการศึกษาในเรื่องพระพิมพ์ต่างๆ หรือการนำพระพิมพ์มาเพื่อประกอบในการให้บูชานั้น เป็นเพียงส่วนประกอบเพื่อเสริมกิจกรรมเท่านั้น จะยกเลิกเมื่อใดก็ได้ มิได้เป็นแก่นสารในการไปติดยึดเป็นสรณะใดๆ ทั้งสิ้น หากนับจากจำนวนคนที่มาทำบุญ กับคนที่สนใจศึกษาอาจจะสัก 5-10% เท่านั้นครับ ส่วนใหญ่ ก็มานั่งคุยพบปะสนทนาพักผ่อน หลังจากทำบุญทำกุศลเท่านั้นเองครับ

    ก็ขอชี้แจงให้ทราบ และขออธิบายเพิ่มเติมจากน้องโอ๊ตเท่านี้ละ และขอขอบคุณที่สนใจในกิจกรรมข้างต้นนี้ หวังว่าคงจะได้พบกันในวันที่ 9/11 นี้ ผมเข้าใจว่า เราอาจที่จะต้องมีเรื่องที่ต้องคุยกันเยอะเลยทีเดียวครับ

    สวัสดี


    พันวฤทธิ์
    28/10/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2008
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พระ"แสดงฤทธิ์"
    ทำให้ศาสนาเสื่อมเร็วขึ้น?

    เย็นวันหนึ่งมีโยมขึ้นไปหา หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ที่ถ้ำผาปล่อง แล้วก็เอ่ยว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2008
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    โทษของการสอนค้านกับคำสอนของพระพุทธเจ้า


    ถาม : หนูฟังเทศน์ที่พระที่ท่านนับถือครูบาอาจารย์ที่ใครไปนิพพานที่ไม่ถูกอย่างนี้ ท่านชักจูงหรือท่านสอนทางธรรมแล้ว เกิดสมมุติว่าคนฟังแล้วก็คล้อยตาม พระรูปนั้นบาปด้วยหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าท่านสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนคนเป็นมิจฉาทิฐินี่โทษสาหัสมาก มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่น่านับถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย สอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ

    วันหนึ่งกำลังภาวนาตอนเช้าจิตมันหลุด มันลงไปที่โลกันตนรกไปเห็นเข้า เอ๊ะ ปกติแล้วสัตว์นรกมีแต่ผอมๆ ทำไมรายนี้มันอ้วนแท้ ปรากฏว่าถ้าเขาไม่อ้วนแล้วเราจำเขาไม่ได้ เขาทำให้เห็นลักษณะเดิม แล้วหลังจากนั้นก็แปลกใจเขาตายแล้วหรือ ถึงได้ลงมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่า พอตอนช่วงเช้าออกไปที่หน่วยป่าไม้ หัวหน้าเขาบอกว่าตายแล้ว ของเรามันหมกอยู่แต่ในป่า ข่าวคราวมันก็ไม่มี มันต้องไปถามข้างนอกคนดูหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ เขาบอกว่าตายแล้ว เขายืนยันแต่ว่าตายมา ๓ วันแล้ว เพิ่งจะไปเจอ ตายตั้งแต่วันที่ ๘ นะไปเจอเอาวันที่ ๑๑ โน่นก็สงสัยว่า ทำไมเขาลงถึงโลกันตนรก

    ปกติอเวจีสำหรับเราก็ถือว่าสาหัสแล้ว โลกันต์นี่มันคูณ ๔ คือโทษ ๔ เท่าของอเวจีถึงได้ลงโลกันต์ ปรากฏว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนค้านคำสอนพระพุทธเจ้า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิต้องลงอเวจีมหานรกกว่าจะผ่านนรกแต่ละขุม กว่าจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ มันทำให้เขาห่างความดีได้ขนาดนั้นโทษก็เลยสาหัสหน่อย

    ถาม : แล้วเจ้าตัวเขารู้มั้ย ?
    ตอบ : เจ้าตัวตอนนั้นรู้แล้ว กำลังรับโทษอยู่ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ทำนั่นคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านก็สอนของท่านไปเรื่อย

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    [​IMG]
    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์
    http://www.phuttawong.net
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อธิษฐานธรรม คือ ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อย่าง

    ๑. ปัญญา รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้
    ๒. สัจจะ ความจริงใจ คือ ประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง
    ๓. จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าสึกแก่ความจริงใจ
    ๔. อุปสมะ สงบใจจากสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความสงบ ฯ

    ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจสี่อย่าง : ๑. ปัญญา คือหมั่นหาความรู้ วิชาการ อันจะเกิดประโยชน์แก่ตน มีความถ่องแท้ ทั้งทางโลกและทางธรรม ๒. สัจจะ ความตั้งใจจริงมีความมั่นใจไม่ท้อถอย ตั้งหน้าประพฤติในทางที่พิจารณาแล้วว่าถูกว่าควร ๓. จาคะ การพยายามสละสิ่งที่เป็นตัวขัดขวางความตั้งใจจริง ๔. อุปสมะ หาอุบายทำใจให้สงบตามควรแก่สภาวะ เพื่อกำจัดความฟุ้งซ่าน ฯ


    ขอขอบคุณ



    http://www.dhamma.in.th/board/viewtopic.php?t=22
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2014
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ...อานิสงส์จะเกิดผล...ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติเท่านั้น...

    หลวงปู่พุทธอิสระ

    จงตั้งใจสลัดอารมณ์ ความวุ่นวายใด ๆ ทั้งหลาย
    ที่เป็น “ ขยะหยากเยื่อหยากไย่ ” ของความคิด สติ และดวงจิต
    สลัดให้หลุด หยุดมันให้ได้
    แล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
    ดูดเอากลิ่นอายแห่งความเบิกบาน
    พลังแห่งชีวิต และเสรีภาพอันยิ่งใหญ่
    ซึ่งเป็นเสรีภาพที่เราปลดปล่อย ขยะ “ หยากเยื่อหยากไย่ ”
    ฝุ่นละอองแห่งดวงจิต รวมทั้งความคิดทั้งหลายได้
    เราจะเล่นเกม และเล่นสนุกกับกิริยาท่าทาง
    และกระบวนการแห่งความคิด อันเยอะแยะมากมาย
    ลองมาหาความเพลิดเพลินเบิกบานสำราญใจ
    ด้วยการวางภาระทั้งหลายให้จบสิ้น และหมดลงไปในบัดดล
    กลายเป็นบุคคลผู้เปล่า ผู้ปราศจาก เปล่าและว่าง
    ปราศจากความคิดอ่านทั้งปวงผนึกกายและใจ
    ให้แนบแน่นกันเป็นหนึ่งเดียว
    โดยไม่ให้ความคิดมาแยกออกจากกาย
    ผูกกายกับใจให้รวมเป็นหนึ่ง
    ฝึกได้ขนาดนี้ อย่างนี้และถึงขั้นนี้ จนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต
    เราจะได้มีสติดำรงมั่นในจิตวิญญาณที่ใสสะอาด
    มีทางแห่งสุขคติภพเป็นที่ไปในวาระสุดท้ายของชีวิต

    เมื่อจิตเราไม่เศร้าหมอง ไม่ขุ่นมั่ว
    ไม่ฝักใฝ่ ไม่ดิ้นรน ไม่ขัดข้อง
    ไม่กระเสือกกระสน และไม่แสวงหา
    ถือว่าเป็นหนทางปิดกั้น “ อบายภูมิ ”
    เพราะพระศาสดาทุกพระองค์ทรงกล่าวว่า

    “ ผู้ไม่ดิ้นรนจนเกินพอดี ไม่กระเสือกกระสนแสวงหา
    คือ ผู้สันโดษยินดีในสิ่งที่พึงมีพึงได้
    ย่อมพบทางสบาย ผ่อนคลายอิสระ
    สัตว์ทั้งหลายที่เที่ยวเดือดร้อนดิ้นรน
    กระเสือกกระสนและแสวงหานั้น
    เป็นกิริยาของอสูรกาย เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรก
    รวมทั้งกริยาอาการของผู้ทุกข์ไม่รู้จบสิ้น.. ”

    สมณะ นักบวช พระ หรือผู้สงบ ผู้หยุด ผู้ไม่วิ่ง
    ผู้สันโดษ ผู้ไม่แสวงหา เป็นสภาวะของ “ เนกขัม ”
    ถือการออกบวชแห่งจิตวิญญาณเป็นหนทางอันบริสุทธิ์ใสสะอาด
    เป็นความสงบ และสันติ เป็นความรู้สึกสุข เสรีภาพ
    และเป็นเสรีภาพที่ได้รับการปลดปล่อยจากจิตวิญญาณ
    ที่หิ้วอยู่ – หุ้มอยู่ – จมอยู่ ในกองขยะ
    หยากเยื่อหยากไย่ทั้งหลายในและนอกกายเรา...
    โปรดกรุณาปลดปล่อยตนเองออกจาก “ คุกแห่งอารมณ์ ”
    ไม่มีผู้ใดในโลกมาขังเราได้ ถ้าเราไม่ขังตัวเราเอง
    พวกเราทุกคนกำลังตกเป็นทาส
    เป็นนักโทษที่มี “ คุก ” เป็นเครื่องจองจำ
    นั่นก็คือ “ อำนาจแห่งกรรม ”
    และ “ การกระทำที่ไร้ความไตร่ตรองและพิจารณา ”

    ในขณะเดียวกัน เราก็ “ ติดคุก ” อยู่ลึก ๆ
    ซึ่งมันซ่อนอยู่ในดวงใจเล็ก ๆ เป็น “ คุก ”
    ที่มีอำนาจผูกให้เราตกอยู่ในความหลง ความโกรธ
    ความโลภ และความสับสนวุ่นวาย
    คุกชนิดนี้มันยิ่งใหญ่กว่า “ คุก ” ที่ชาวโลกสร้างมันขึ้นมา
    เพื่อขังมหาโจรเสียด้วยซ้ำ
    เพราะว่าสัตว์ตนใด “ ติดคุกแห่งอารมณ์ ”
    เขาจะไม่มีวันได้ออก
    ไม่มีใครบอกได้ว่า เขาจะ “ ออกจากคุก ” เมื่อไหร่ อย่างไร
    จนกว่าเขาจะสามารถหาทางออกได้ ด้วยตัวของเขาเอง
    เพราะสรรพสัตว์ที่ “ ติดในคุกอารมณ์ ”
    จึงต้องอุบัติ “ พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ”
    มาทำหน้าที่เป็นนายทวารไปไขกุญแจ
    ปลดปล่อยสรรพสัตว์พ้นจากโทษทัณฑ์ และบ่วงกรรม
    ความเป็นทาสของความหลงโง่งมงาย

    เราชาวศากยะ และตระกูลวงศ์แห่งพระศาสดา
    มีหน้าที่ปลดปล่อยตนเอง
    แล้วก็ปลดปล่อยสรรพสัตว์ที่ไม่ใคร่ระวัง
    สติรู้ตัวทั่วพร้อม ให้พ้นบ่วงแห่งกรรม และทุกข์โทษภัยทั้งหลาย
    ที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ใจ ที่ไม่ได้มีการพัฒนาและฝึกฝน
    และไม่ได้ระแวดระวังด้วยความรู้สึกที่ได้จากตาเห็น หูฟัง
    จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ไม่มีสติรู้ทั่วพร้อม
    เราปล่อยให้ตัวเองติด “ คุก ”
    และส่งเสริมให้วิญญาณ “ ติดคุก ” อีกต่างหาก
    โดยการหลงใหลลื่นถลาไปกับ “ ตาเห็นรูปสวย ”
    “ หูฟังเสียงเพราะ ” “ จมูกได้กลิ่นหอม ”
    “ ลิ้นรับรสอร่อย ” “ กายถูกต้องสัมผัสที่ชอบ ”
    ลองมาใช้เวลาอันน้อยนิด
    สมมติว่าจะปลดปล่อยตัวเอง
    ออกจาก “ คุก ” แห่งความวุ่นวาย สับสน
    และหงุดหงิด โดยการมีสติควบคุม
    สิ่งที่เกิดจากตาเห็น หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส
    กายสัมผัส อย่าปล่อยให้มันมามีอำนาจเหนือจิตใจของตนเอง
    วิธีการปลดปล่อยตนเองก็คือ
    หยุดคิด หยุดพูด หยุดทำ หยุดพฤติกรรมต่าง ๆ
    และอย่าปล่อยให้ความรู้สึกใด ๆ ปรากฎขึ้นในขณะนี้
    ยกเว้นมีความรู้สึกว่า “ กายรวมใจเป็นผนึกแนบแน่น ”
    มีสติสัมปชัญญะคือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ภายในกาย
    จงอย่าปล่อยให้อารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นภายในกายนี้
    ในเวลานี้เป็นอันขาด
    เมื่อเราทำได้ถือว่าเป็นผู้ที่ฝึกตนเอง
    ที่พร้อมจะปลดปล่อยวิญญาณให้เป็นอิสระ..ได้ในลำดับตน

    จากหนังสือทำวัตร-สวดมนต์แปล
    หลวงปู่พุทธอิสระ
    วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม



    ที่มา : http://www.kanlayanatam.com/sara/sara67.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...