สมภารไม่ยอม ถอดป้ายหมิ่นฯ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 29 กรกฎาคม 2008.

  1. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
  2. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    บอกตามตรงนะ ดิฉันเห็นจริงตามที่หลวงพ่อเกษมท่านสอนนะ แต่ก็ต้องอธิบายให้คุณๆทั้งหลายจำไว้ด้วยว่า คำสอนที่ท่านนำมาเผยแผ่เนี่ย ไม่ได้เป็นแนวทางที่ท่านตู่ขึ้นมาเอง คำสอนเหล่านั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนๆ ท่านเพียงแต่นำออกมาเผยเเผ่ ดังนั้นท่านจึงไม่ต้องไปสร้างหรือตั้งศาสนาเอาใหม่หรอก ถ้าจะต้องมีใครย้ายตัวเองออกไปตั้งลัทธิใหม่เนี่ย เห็นว่าน่จะเป็น พวกที่ชอบสร้างรูปเคารพแล้วแอบอ้างว่ามีพุทธคุณ อย่างนั้นอย่างนี้มากกว่า พาคนอื่นเขาหลงผิด ทำคำสอนที่แท้ ต้องบิดเบือนมัวหมอง ที่สำคัญดิฉันไม่ได้เอาศรัทธามาบังตาจนหลงเชื่ออะไรหรอก ดิฉันใช้ปัญญญาพิจจรณา แล้วก็เชื่อต่างหากคุณ
     
  3. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    ในพระไตรปิฎกฉบับ 91 เล่ม ของมหามกุฎราชวิทยาลัย ไม่มีให้บูชา หรือนับถือ พระพุทธรูป หรือวัตถุใดๆ เลยนะครับ ถ้ามีก็ต้องบรรจุพระธาตุด้วย ได้โปรดไปค้นจากพระไตรปิฎกเถิด ชาวพุทธทั้งหลาย อายพี่น้องมุสลิมมั่ง ที่เขายึดถืออัลกุรอาน แต่เราเก็บใว้ในตู้แล้วเอา ความรู้สึก ความถูกใจ พวกมากลากไป หรือกติกู มาวัดกัน มาตัดสินกันอย่างนั้นหรือ
     
  4. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
    โดยสมเด็จองค์ปฐม

    [​IMG]

    • หมายเหตุ​
    • อารมณ์คือกระแสของจิต (คลื่นอารมณ์) โดยหลวงพ่อฤาษี​
    • เรื่องจริต ๖ โดยหลวงปู่ตื้อ​
    พิมพ์จากหนังสือ ''ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น''
    หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยานมหาเถระ)
    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
    (โดยสมเด็จองค์ปฐม)​

    [​IMG]

    ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่าจะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อ
    ดังนี้ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด​

    [​IMG]

    จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุด
    จากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้น
    แล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำ เมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขาก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ''บ้า'' อีก

    ท่าน หนึ่งพูดว่า ''ทะลึ่ง'' ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรม และวจีกรรม ทั้งคู่)

    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อ ๆ) ดังนี้

    ๑. ''เหตุที่จิตมีอุปทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าว
    เป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิตที่ยึดเอาอุปทานนั้น ๆ (บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา)
    ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคน
    มาแล้วจับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มี
    อารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
    มีอารมณ์พอใจสนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น
    ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรม อันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้
    กล่าวคือ จะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวาย
    และปลานั้น กลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก นี่คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิดเท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น​

    ''วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง"

    [​IMG]

    ๒. ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรม หรือ วจีกรรม

    ก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด

    ในโลกนี้มัน เป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วน ๆ''

    ๓. '' ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมนี้แล้ว พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคน

    จากคนที่เป็นปลาก็ต้องตำหนิกรรมอีก เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรม หรือ กรรมของผู้อื่น

    อันสืบเนื่องเป็นสันตติ ประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    แล้วพวกเจ้าจักเอาชาติไหนมาตัดสินว่า ใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้

    เพราะกิเลส-ตัญหา-อุปทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุ

    ทำให้จิตของคนกระทำกรรม ให้เกิดแก่มโน-วจี และกายได้อยู่เป็นอาจิณ''

    [​IMG]

    ๔. ''เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิด

    ก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้​

    ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้​

    ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้น​

    จงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่ก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก''​

    [​IMG]

    ๕. '' เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด​

    ค่อยๆวาง ค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ​

    กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือ​

    กฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆ เข้ามรรคผล ก็จะปรากฎขึ้นเอง​

    อย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรม

    ให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนตลอดเวลาอยู่กับจิต

    ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้นๆ กรรมใดกรรมมัน​

    พวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆ มาตำหนิเลว เพราะเท่ากับมีอุปาทานเห็น​

    กรรมนั้นๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้ง​

    ไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก ''​

    ๖. " ถ้าบุคคลที่ไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่า ต่อขานคนที่จับ​

    ปลาเข้า ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกัน​

    จนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันเข้าไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกัน​

    สร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไป​

    ด้วยความหมั่นไส้เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน ​

    ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีก​

    ยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม​

    ก็ต้องยุติลง ใช้ ศีล-สมาธิ-ปัญญา อันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงใน​

    สันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฏของกรรม​

    โทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด​

    จงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าเข้าไปมีหุ้นส่วน

    กรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรม เป็นอันขาด จำไว้นะ ''



    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2008
  5. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    คนเราเนี่ย พอได้ยินอะไรนิดๆหน่อย ถ้ามันตรงกับที่เคยรู้ๆเคยได้ยินมาทั้งชีวิต หรือใครๆเขาก็ทำกันเนี่ย ก็รับเข้ามาโดยไม่ต้องตรองอะไรเลย แต่พอได้ยินอะไรที่มันขัดเเย้งกับกับความรู้สึกหน่อยก็รับไม่ได้ เขาบอกก็แล้ว ท้าก็เเล้ว ก็ไม่ยอมไปค้นคว้าหรอก กลัวเจอความจริง แล้วอกแตกตาย เกิดความหวั่นไหวว่า "เเล้วต่อไปนี้แล้วฉันจะอยู่ยังไง จะระลึกถ฿งพระพุทธเจ้ายังไง ก็เคยอาศัยวัตถุมาตลอดชีวิต" ทำไมไม่ลองหัดที่จะพึ่งตัวเองดูบ้างล่ะ สอนให้จิตระลึกเองบ้างดีมั้ย เผื่อตกนำตกท่า เเล้วลืมห้อยพระ จิตจะได้ระลึกเองเป็น ทันท่วงทีก่อนตาย
     
  6. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    [FONT=Tahoma,Bold]
    ผู้พอใจในรูปร่างทั้งหลาย...ต้องรู้ ​
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 28 หน้า 357

    [/FONT]
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอาทิตตปริยายและธรรมปริยายแก่เธอทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายจงฟัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาทิตตปริยายและธรรมปริยายเป็นไฉน.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ (หน่วยตา) ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติด
    ลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรูป อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง
    จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต (เครื่องหมาย) หรือตะกรามด้วย
    ความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยา (ตาย)
    เสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ (การไปเกิด) ๒ อย่าง คือ
    นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะที่จะมีได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้.....​
    [FONT=Tahoma,Bold]
    ***อนุพยัญชนะ หมายถึง แยกถือเอาเป็นส่วนๆ เช่น มืองาม, เท้างาม ,
    คิ้วงาม ,หน้างาม , เป็นต้น
    รูปนี้หมายรวมทั้ง พระพุทธรูปด้วยนะ​
    [/FONT]
    แม้แต่รูปร่างของพระพุทธเจ้าตัวจริง ๆ เมื่อ 2500 กว่าปีก่อน
    ก็ยังอันตรายถ้าไปยึดเอาเป็นที่พึ่ง​
    เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงพระพุทธรูปทั้งหลายหรือวัตถุทั้งหลายเลย
     
  7. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    [FONT=Tahoma,Bold]
    พึ่งพุทธ – ธรรม – สงฆ์ (อย่างถูกต้อง) ยอดเยี่ยมนัก​
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 42 หน้า 346​
    [/FONT]
    มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ (ต้นไม้)
    ว่าเป็นที่พึ่งสรณะนั่นแลไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น
    ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.​
    [FONT=Tahoma,Bold]
    ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ​
    [/FONT]ย่อมเห็นอริยสัจ 4
    (คือ) ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ
    ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ สรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษม

    สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาศัย สรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
     
  8. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    [FONT=Tahoma,Bold]
    เรื่องพระรัตนไตรในภาพรวม โดยหลวงพ่อเกษม​
    [/FONT]
    พระรัตนตรัย หรือ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้ชาวโลก
    ทั้งหลายได้ศึกษากันนี้ เป็นเพียงวิธีการและทางดำเนินไป คือ อันนี้เป็นวิธีคิดและวิธี
    พิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้ รู้จนไม่ยึดในรูปใน - รูปนอก - รูปในใน - รูปในนอก –
    และไม่ยึดในเวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ และ จิต ก็ปล่อยวางกันหมด
    เมื่อปล่อยวางกันหมดก็ดับสนิท
    พระรัตนตรัย (แก้ววิเศษสุด 3 อย่าง) หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พุทธ - ธรรม - สงฆ์
    เมื่อเกิดความรู้รอบและรอบรู้แล้วก็ดับสนิท อาการที่ดับสนิทนั่นแหละ คือ
    พุทธ - ธรรม – สงฆ์ ไม่ใช่อาการก่อนดับ และไม่ใช่อาการหลังดับ
    แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในล้านของวินาทีก่อนจะดับสนิทก็ไม่ใช่นะ​
    [FONT=Tahoma,Bold]
    ทีนี้เมื่อทุกอย่างดับสนิทแล้ว เราทั้งหลายอธิษฐานใช้พลังของอะไรกัน ?​
    [/FONT]
    ที่เราอธิษฐานก็ใช้พลังของความดับนี่แหละ คือ
    น้อมเอาพลังของความเสียสละ - ความปล่อยคืน - ความปล่อยวางทั้งหมด – ความไม่ยึด
    อะไรไว้ ปล่อย - วาง - สละไปหมด ไม่ยึดไว้แม้แต่จิต
    พลังอันที่ว่านี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการสั่งสอนสืบเนื่องปฏิบัติต่อกันมาอยู่ (คือ อยู่ในยุคที่
    ยังมีคำสอนของพระพุทธเจ้า) บางยุค - บางกาล เมื่อหมดผู้สอน เมื่อหมดผู้รู้จัก
    พลังอันนี้ก็จะไม่มีผู้รู้จักใช้ (คือ ยุคที่พุทธศาสนาอันตรธานไปแล้ว)
    ผู้สอนคนแรก - ผู้รู้จักพลังอันที่ว่านี้เป็นคนแรกก็คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และได้สั่งสอนสืบเนื่องปฏิบัติต่อกันมาอยู่เป็นลำดับโดยพระสงฆ์สาวกของสมเด็จพระ
    สัมมาสัมพุทธเจ้า​
    เมื่อกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานมาก ๆ
    ผู้สอนพุทธศาสนาในลำดับหลังๆนี้ก็จะพาผู้คนไม่ให้เอา – ไม่ให้ทำตามที่พระพุทธเจ้า
    สอนไว้ และผู้สอนพุทธศาสนาในลำดับหลังๆนี้ก็จะพาผู้คนไปเอาอันอื่น - ไปเอาสิ่งอื่น
    มาปะปน – ไปเอาสิ่งอื่นมาผสมปนเปกัน จนผู้คนทั้งหลายเกิดอาการ ​
    [FONT=Tahoma,Bold]งง [/FONT]ไม่รู้จัก
    พุทธ - ธรรม - สงฆ์ ที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ?

    ถึงแม้ว่า พุทธ - ธรรม - สงฆ์ จะมีอยู่ตลอดกาลในอนันตจักรวาลโดยอานุภาพก็ตามที
    แต่ถ้ายุคไหน - กาลใด สัตว์โลกไม่น้อมนำมาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น
    สัตว์โลกทั้งหลายก็จะไม่มีผู้ได้รับประโยชน์จากอานุภาพของพระรัตนตรัยเลย
    เพราะเมื่อสอนเรื่องพระรัตนตรัยกันแล้วไม่มีผู้เข้าใจ
    นานไปผู้ที่ไม่เข้าใจนั้นก็ไปสอนกันต่อก็ยิ่งเลอะเลือน
    นานไปผู้ที่เลอะเลือนนั้นก็ไปสอนกันต่อก็ยิ่งเลือนลางจางหาย
    ท้ายที่สุดก็จะหาคำหรือหาความคิดแม้เพียงครั้งเดียวของขณะจิตที่จะระลึกถึง
    พระรัตนตรัยก็ไม่มีเลย
    แต่ในขณะปัจจุบันนี้เราทั้งหลายต่างก็โชคดีกันมาก ๆ
    ที่ได้พบเจอกับคำสอนของพระรัตนตรัย
    จงเร่งศึกษาค้นคว้า อย่ามัวแต่อยากฟังและอยากถามแต่ผู้ที่เกิดในยุคนี้
    และมีความรู้น้อยเช่นเรา​
    - 32 -​
    จงค้นศึกษาตรวจดูคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลให้ดีก่อน
    ก่อนที่จะถามเรา มันจึงจะสามารถเข้าใจได้ เพราะว่าถ้าจะเอาเฉพาะคำพูดของเราแล้ว
    ไม่มีผู้ที่จะลงใจในคำพูดของเราได้ง่ายๆหรอก
    จงเร่งศึกษาและค้นควา้ พิจารณาคำสอนของพระพุทธเจา้ ในพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง
    แล้วเราจะยืนยันให้ตามความรู้ที่เรามี มันยังจะดีกว่า ดีกว่าที่จะคอยแต่ถามเราผู้มี
    ความรู้น้อยนิด
    น้อยนิดจนไม่สามารถจะเทียบได้กับธุลีที่ติดปลายส้นพระบาทของพุทธองค์ แม้เพียง
    แป๊ปเดียวแล้วหลุดออก ความรู้ที่เรามีก็ไม่สามารถจะเทียบได้แล้ว
    เพราะฉะนั้นจึงควรฟังและพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ยังมีอยู่นั่นแหละเป็น
    สำคัญ​
    [FONT=Tahoma,Bold]พระเกษม อาจิณฺณสีโล
    [/FONT]
     
  9. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    ภิกษุแสวงหาเงิน – ทอง ไม่ใช่... เล่ม 9 หน้า 536

    ...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เอาละ นายบ้าน เธอพยากรณ์ ( ตอบปัญหา )
    อย่างนี้ชื่อว่ากล่าวคล้อยตามเรา ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำเท็จ
    ชื่อว่า พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และสหธรรมิก ( ผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน )
    บางรูปผู้กล่าวตามวาทะย่อมไม่ถึงฐานะที่ควรติเตียน

    ดูก่อนนายบ้าน ทองและเงินไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรโดยแท้
    สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่รับทองและเงิน
    สมณะเชื้อสายพระศากยบุตรมีแก้วและทองอันวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน
    ทองและเงินควรแก่ผู้ใด แม้กามคุณ (สิ่งที่น่าปราถนา) ทั้งห้าก็ควรแก่ผู้นั้น
    กามคุณทั้งห้าควรแก่ผู้ใด เธอพึงจำผู้นั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า มีปกติมิใช่สมณะ (ผู้สงบ)
    มีปกติมิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร
    เราจะกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้ต้องการหญ้า พึงแสวงหาหญ้า
    ผู้ต้องการไม้ พึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการเกวียน พึงแสวงหาเกวียน
    ผู้ต้องการบุรุษ พึงแสวงหาบุรุษ
    แต่เราไม่กล่าวโดยปริยายไรๆ ว่า สมณะพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงิน (รวมทั้งดอลลาห์ด้วย)...
     
  10. โบ๊ต

    โบ๊ต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +847
    อ้าวใหนว่า อนาคา โผล่หัวมาให้ชมหน่อย ยู้ฮู
     
  11. สายบุญนิธิพระญาณวีระ

    สายบุญนิธิพระญาณวีระ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    สำนวนนักเทศโบราญท่านว่าไว้ว่า....แม้แต่กระโทนทองเหลืองบ้วนน้ำลายยายมีตามาแต่เมื่อหล่อเป็นองค์พระสัมมาราชาต้องกราบไหว้...นี่ละแสดงให้เห็นว่าคนไทยเราให้ความสำคัญกับพระพุทธรูปมากแค่ใหน คิดดูเองครับ

    นะไม่รู้ โมไม่เห็น ผู้ใดทำเข็ญวินาศสันติ เมตตาพุทโธ ทุกขโตทุกขฐานัง อโหสิ คาถาของท่านครูบาท่าน
    ให้ภาวนาแล้วปล่อยวางให้มันเป็นไปตามกรรม
     
  12. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499

    พระพุทธรูปเป็นของ ศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้าน คู่เมือง พูดแบบนี้มันเหมือน พระพุทธรูปไม่มีค่าอะไรเลย ไหว้ทำไม

    แล้วตอนบวช มีใครบ้างไม่ไหว้พระประธานในโบสถ์ ถ้าไม่พอใจหลักการของศาสนาพุทธ ก็ตั้งลัทธิใหม่ไปเลย

    ไม่ใช่ ทำให้ของเก่าที่ดีอยู่แล้ว
    หมดคุณค่าลงไป

    คนที่เคยได้สัมผัสกับความศักดิ์สิทธ์ของพระเครื่อง ของขลังและ พระพุทธรูป มันเยอะนะคะ เคยเจอกับตัวมาแล้ว ใครจะเชื่อก็ตามใจ แต่ดิฉันไม่เชื่อคะ
     
  13. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    *** แล้วผู้ที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธแต่ไปเลื่อมใสพระพุทธรูปทั้งหลายนั่นล่ะจะว่าไงดี ?ได้บุญหรือได้บาป ?

    ++++++++++++++++++++++++++++++

    ไม่บาปเลยสักนิดเดียว ฟันธงให้ 100% (นี่เวบธรรมะไม่อยากจะพูดตรงๆ กลัวคนที่ฟังจะ แสลงใจ)

    ถ้าจะให้เถียงเรื่องนี้ เอ๋เชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลที่ดีของตัวเอง แล้วเป็นเหตุผลที่น่าฟังทั้ง2 ฝ่ายด้วย ซึ่งเถียงกันไป 10 ปีก็ไม่จบหรอก

    แล้วอีก 30 ปีถึงจะมีการเผยแพร่ไม่ให้คนกราบไหว้พระพุทธรูป หรือ รูปเคารพต่างๆ หรือจะ มีการเผยแพร่ไม่ให้ มีการห้อยพระ ไม่ให้สวดมนตร์ ก็ไม่ได้ช่วยให้คนเสื่อมศรัทธา หรือเปลื่ยนแนวคิดเลิกบูชารูปเคารพหรอก

    ****แต่มั่นใจว่า แนวคิดการให้เลิกบูชารูปเคารพ คนไทยรับกันไม่ได้หรอก
    ในไม่ช้าความคิดที่สุดโต่ง จะโดนกวาดล้างให้หมดไปจากสังคมไทย ในเวลาไม่เกิน 5 ปีแน่นอนเพราะพระสงฆ์หลายรูป ก็รับไมได้เหมือนกัน*******


    เพราะการนับถือรูปเคารพหรือเทวรูปมันมีมานานแล้ว

    เป็นส่วนหนื่งของ วัฒนธรรมไทย เป็นเรื่องทางจิตใจเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกประเทศมีความผูกพันธ์ที่ทำกันมาหลายชั่วอายุคน น่าจะทำกันมาในหลายชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ และ ในอีกหลายประเทศก็นับถือรูปเคารพเช่นกัน ถ้ามันไม่มีอะไรดีๆ ในการเคารพบูชากราบไหว้เทวรูป(มันจะอยู่มานานเป็นพัน เป็นหมื่นปีเหรอ)

    ถ้ามันไม่มีอะไรดีเลย ความนิยมในการบูชา รูปเคารพมันคง สูญหายไปนานแล้ว

    ถ้าเอาในเชิงประวัติศาสตร์มันมีคุณค่าทางจิตใจ และ วัฒนธรรมมาก

    สมควรที่จะอนุรักษ์สิ่งดีงามนี้ไว้ ให้ชั่วลูก ชั่วหลาน

    เอาแค่ อียิปต์ จีน อินเดีย (ในยุคที่ 3 ประเทศไม่รู้จักกันเลย)
    ผู้นำทางศาสนา( ที่มีคนทั่วไปเคารพ บูชา ก็สร้างรูปเคารพเทพเจ้าต่างๆ ของท้องถิ่น โดยไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย)

    ในสมัยที่มนุษย์ยังเป็นคนป่า ( อาศัยอยู่ในถ้ำ)
    ตอนนั้นมนุษย์เริ่มสร้างรูปเคารพแม่ธรณี (เป็นรูปปั้นสตรีที่ท้องโต หน้าอกโตบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ เป็นหุ่นเล็กๆไม่มีแขน ขา ใช้พกติดตัวเป็นเครื่องราง)

    การบูชาหุ่นเทพเจ้าต่างๆ พระพุทธรูป รูปวาดเคารพ และ การพกเครื่องลาง ของขลัง เป็นเรื่องที่มนุษย์ทำมานานเป็นหมื่นปีแล้วตั้งแต่ สมัยยุคหิน

    เป็นสิ่งที่ทำจนติดเป็นนิสัยและแฝงอยู่ใน สายเลือดเลยก็ว่าได้
    แสดงว่า พระ เครื่องราง ของขลัง (มันต้องมีอะไรดีๆเยอะสิ)ไม่งั้นมันก็คงจะ
    สูญพันธ์ไปเหมือน ไดโนเสาร์แล้ว

    ดิฉันเคยห้อยพระ แล้วเผลอจะไปรอดใต้ราวผ้า ตอนนั้นอยู่ประถมเองเลยไม่ระวังตัวปรากฏว่าพระ กระตุกหายไปในอากาศแล้ว ไปโผล่อีกทีบนโต๊ะในห้องนอน

    แล้วเรื่องเล่าเกื่ยวกับความขลัง ของพระต่างๆ ของขลัง เครื่องราง

    ล้วนเป็นเรื่องจริง และมีเรื่องราว สืบต่อกันมานาน

    เอาแค่ในหนังเกาหลี ใครจะไปเชื่อว่า สมัยก่อนเกาหลีจะมีการทำหุ่นตุ๊กตา
    ไสยศาสตร์ทำร้ายพระมเหษี ด้วย แสดงว่า คนสมัยก่อนเก่งมาก

    รู้ว่าอะไรคือความลับของธรรมชาติ
    สามารถทำให้ ดินธรรมดา เหล็กธรรมดา กลายเป็น พระที่มีความขลังได้
    แล้ว ทำดินธรรมดา ผ้าธรรมดา นุ่นธรรมดา ให้เป็นตุ๊กตาคุณไสยสามารถทำร้ายคนก็ได้ด้วย


    ไม่มีใครเขาโง่กว่าใครหรอก ( หลายคนที่เป็นอิสลามแท้ๆ ยังวิ่งเข้าหาพระไทยให้เสกตระกรุดเข้าผิวเลยเพราะเขารู้ว่ามัน สามารถป้องกันอันตรายได้จริง แอบไปสักยันตร์กับ อ.หนู ยังมีเลยคะ)
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    เค้าเอาพระไตรปิฎกมาเถียง เราต้องเอาพระไตรปิฎกมาเถียงค้าน 5555+ หาก่อนๆ ผ่านตาแว้บๆๆเรื่องนี้ สมาชิกช่วยกันหาข้อมูลในพระไตรปิฎกค้านพวกเค้าด้วยครับ อนุโมทนาสาธุ
     
  15. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939
    ทำไมหลักฐานที่คุณเอามาอ้างอิงนั้น หามาจากเวบเวบเดียว คือเวบวัดสามแยกทำไมไม่ไปหาหลักฐานเวบพุทธอื่นๆ ที่มีเรื่องของพระไตรปิฎกมาให้ดูบ้าง มันจะได้น่าเชื่อกว่านี้
     
  16. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ ตอบปัญหา ธรรม

    ปัญหาเครื่องรางของขลังและพระบรมสารีริกธาตุ

    ปัญูหาเรื่องนี้ได้นำคำตอบของหลวงพ่อ มาเพื่อความกระจ่างของความหมายที่อยู่ไนความรู้สึกของท่านพุทธศาสนิกชนบางท่าน ที่ยังเข้าใจไม่ครบถ้วนในความหมายของคำว่า "เครื่องรางของขลัง" ซึ่งในปัจจุบันนี้บางท่านมีความเข้าใจไปว่า พระที่ชอบแจกเครื่องรางของขลังจะทำให้คนติดอยู่ไนวัตถุ ว่าหลงใหลงมงาย

    ปัญหานี้โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา นำมาถามกันอยู่เสมอซึ่งหลวงพ่อท่านได้กรุณาอธิบายว่า
    " ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมากพวกเรามักจะเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำพระไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลใดที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจที่เข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ยังอ่อนอยู่ ฉะนั้นจึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนับถือ ห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออกจะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฎิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกกันว่า "พระธรรมวินัย "


    นี่ความจริง เป็นความมุ่งหมายของผู้ทำ ต้องการอย่างนี้หมายความว่า คนที่มีพระห้อยคอควรจะทำใจอย่างพระ หรือ มิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอก็ควรจะทำตามที่พระแนะนำให้ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ แต่ว่าพวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน

    พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่สามารถที่จะช่วยคนที่ไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้

    ที่เรียกว่า "พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก "เครื่องรางของขลัง" อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ไช่ของขลัง ท่านทำมาด้วยวิชาที่เขาเรียกว่า "พุทธศาสตร์" ไม่ใช่ "ไสยศาสตร์" พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อทำลาย สำหรับพุทธศาสตร์เขาทำเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิต ถึงจะเกิดขึ้นก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้ "

    (ต่อใปนี้เป็นคำตอบปัญหาของหลวงพ่อในเรื่องนี้)

    ผู้ถาม : " หลวงพ่อคะ อ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้วมีความรู้สึกว่าถ้าเรามีวัตถุมงคลที่มีพลังสูง เช่น ยันต์เกราะเพชร ก็ดีนะคะ ตอนที่ลาวปล่อยของมาแล้ว ของอื่นแตกหมด แต่ยันต์เกราะเพชรนึ้อยู่ไม่เป็นไร ทำให้นึกอยากได้ของที่แจ๋ว ๆ อย่างนั้นค่ะ "

    หลวงพ่อ : " จะเอาเพชรสีอะไรล่ะ สีน้ำมันก๊าด? จะไปยากอะไร ยันต์เกราะเพชร บทเสกกับบทเขียนก็มีพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส บทต้น แล้วก็ทุกวันต้องบูชาด้วย อิติปิ โส ๑ จบ นี่พระองค์ไหนก็เหมือนกัน หรือ มีพระคล้องคอ เวลาสวด อิติปิ โสก็นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ห้องที่สองนึกถึงบารมีพระธรรม ห้องที่สามนึกถึงบารมีพระอรหันต์ทั้งหลาย พวกบูชายันต์เกราะเพชรก็ต้องใช้บทนี้เป็นประจำ ถ้าไม่ได้ประจำฉันก็ไม่แน่ไจว่าจะคุ้มครองได้นะ "

    ผู้ถาม : " ก็แสดงว่ายังมีวัตถุมงคลที่มีพลังสูงจริง "

    หลวงพ่อ : " มันอยู่ที่เราด้วย ทำมาให้ดีแล้ว เราดีเท่าของหรือเปล่า ถ้าเรามีความเข้มแข็งแล้วเราก็ดีเท่าของ อย่างเขาเอารถยนต์มาให้เรา เราใช้ไม่เป็น รถยนต์ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม ... เขาให้มาแล้วเราก็ใช้ให้ถูกทางด้วย ก่อนที่จะใช้ก็ต้องหาน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเผา อะไรพวกนี้ใช่ไหม ... ก็เหมือนกัน เมี่อได้พระมาแล้ว นึกน้อมความดีของพระ นึกถึงความดีของพระ ไม่มีอะไรมาก อิติปิ โส บทเดียวพอ ทุก ๆวัน ตอนเช้าตื่นขึ้นมานึกถึงบารมี นึกถึงพระที่เรามีอยู่ "

    ผู้ถาม : " บางคนห้อยพระราคาเป็นแสนก็ตาย "

    หลวงพ่อ : " ถ้าถึงวาระ ก็ต้องตาย ความจริงที่ให้มีพระคล้องคอ ท่านมีความหมาย ให้ทำใจให้เป็นพระ ว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนในหลักใหญ่ ๓ ประการ
    ๑. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง พวกเธอทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง

    ๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา จะสร้างแต่ความดี

    ๓. สะจิตตะปริโยทะปะนัง จงทำจิตให้ผ่องใสจากกิเลส

    แล้วก็ลงท้ายว่า เอตัง พุทธานะสาสะนัง เราขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์สอนอย่างนี้เหมือนกันหมด


    นี่ท่านต้องการทำจิตให้เป็นพระ ไม่ใช่เอาพระไปตีกับชาวบ้าน บางทีพาพระไปขโมยเขาเสียอีก พระขโมยของตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ศีลขาดหมดแล้ว พาพระไปกินเหล้า เป็นปาจิตตีย์ พาพระไปเล่นการพนัน พระก็ถูกสึก ไม่ไหว ใช่ไหมคุณ "

    ( และปัญหาข้อสุดท้ายเรื่อง พระบรมสารีริกธาตุ )

    ผู้ถาม : " หลวงพ่อครับ กระผมมีพระธาตุอยู่องค์หนึ่ง เราจะมีวิธีดูยังไงครับ จึงจะรู้ว่าเป็นของพระองค์จริง ... ? "

    หลวงพ่อ : " ฉันไม่ดูเลย ฉันคิดว่าจะบูชาอะไรก็ตาม ถ้าใจเรานึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ใช้ได้หมด จะมัวไปนั่งติดธาตุอยู่ทำไม เราหาองค์ท่านไม่ดีหรือ ใช่ไหม ... เรามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ แต่ไม่นึกถึงท่านเลย จะเกิดประโยชน์อะไร ประโยชน์จริง ๆ ก็คือว่า ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้าเพียงใด นั่นผลจึงจะเกิด ถ้าเรามีอยู่เราไม่เคารพ ไม่มีความหมาย ดีไม่ดีจะเกิดเป็นการปรามาสเข้าอีกจะซวยใหญ่ ใช่ไหม ... ว่าตรงไปตรงมานะ

    แต่ว่าถ้าเรามีอยู่จริงเราเคารพจริงก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวดีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ดี เอาอย่างนี้ดีกว่า จริงหรือไม่จริงเราก็ไหว้ เรานึกถึงพระพุทธเจ้าก็หมดเรี่อง ยังไง ๆ ก็ถึงพระพุทธเจ้าแน่ "

    ผู้ถาม : " ถ้าหากว่าบ้านมี ๒ ชั้น แล้วเอาพระพุทธรูปไว้ข้างล่าง ถ้ามีคนเดินผ่านชั้นบนจะเป็นไรไหมคะ ถือว่าเป็นการข้ามพระพุทธรูปไหมคะ ... ? "

    หลวงพ่อ : " ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราไม่ได้ตั้งใจปรามาส ก่อนขึ้นก็ไหว้ ขอขมาอภัยท่าน "

    ผู้ถาม : " แต่ถ้าหากเป็นพระธาตุนี่เอาไว้ชั้นล่างไม่ได้ใช่ไหมคะ ? "

    หลวงพ่อ : " มันก็ครือกัน แล้วแต่ ถ้าหากว่าไม่มีความจำเป็นอะไรก็เอาไว้ชั้นบนก็ดี ใจจะได้สบาย พระพุทธรูปก็เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นกรณีพิเศษ เราเดินขึ้นไปโดยไม่มีใจปรามาสก็ไม่เป็นไรนะ " [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
     
  17. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  18. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    มิลินทปัญหา - หน้าที่ 587
    ลามอตเต (Lamotte) ให้ข้อสังเกตไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ในมิลินทปัญหานั้น พระเจ้า
    มิลินท์ไม่ได้ทรงถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องพุทธศิลปเลย ฉะนั้น พระองค์จะต้องประสูติก่อนที่จะมี
    การสร้างพระพุทธรูปเป็นแบบมนุษย์ธรรมดาทั่วไป มิฉะนั้นแล้ว ก็จะต้องมีการสนมนากันถึง
    ปัญหาในเรื่องนี้บ้าง
     
  19. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    ข้อความโดย: จักษพรรณ์

    จุดธูปไหว้ทองเหลือง ได้มะเร็งตายไปโดนลวกในนรกต่อ ใครอยากทำก็เชิญเถอะ
    เอาเหรียญทองเหลืองมาแขวนคอ ได้ขี้กลากไม่ได้ไปนิพพาน ตายไปก็เป็นกล้วยปิ้งให้เหรียญมันทับต่อในนรก ใครอยากแขวนก็เชิญเถอะ เจอพวกเปรตห่อผ้าเหลือง(เดี๋ยวนี้เยอะมาก) ใช้เงินอย่างโจ่งแจ้ง เดินซื้อของในเจเว่น แฮ๊วๆอยู่บนตุ๊กๆเหมือนฆารวาส พยายามหลับหูหลับตาไม่อยากเจอก็ต้องเจอ เพราะถ้าเจอแล้วไม่ติเตียนก็ได้อนิสงฆ์ชาติหน้าเป็นใบ้ เดินเข้าไปไหว้ก็พิการเป็นง่อย ทำบุญให้ ก็กลายเป็นไฟไปเผาญาติ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมหาเถระจึงทำเฉย พระบางองค์สมัยนี้ชอบสร้างวัตถุมงคลหาเงินเข้าวัด ลงโฆษณาขายสินค้าเหมือนสินค้าโอทอป1ตำบล1ผลิตภัณท์ ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า ลงนรกทั้งผู้สร้างและผู้แขวน มหาเถระก็ยังเฉย ตอนนี้ผมโดดหนีลงเรือหลวงปู่เกษมแล้วครับ พาพรรคพวกมาลงด้วย พายยังเดียวครับ จะไม่ลงจากเรือหรือหันไปมองพวกลงนรกเด็ดขาด เจี๋ยวววว......
     
  20. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4

    จัดให้


    ผลการค้นหา คำว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...