สมภารไม่ยอม ถอดป้ายหมิ่นฯ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 29 กรกฎาคม 2008.

  1. สัก

    สัก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +1
    สมภารหาย

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อย่าไปเพิ่มทุกข์ให้แก่สมภารรูปนั้นเลย เพราะท่านก็เป็นทุกข์มากพอแล้ว
     
  2. คนตาบอด

    คนตาบอด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +42
    อนิจจา ความรู้มีน้อยนิด แต่อยากสอนคนอื่น ความเข้าใจเอาตัวเองเป็นหลัก น่าสงสารนัก

    อันตรายของน้ำมนต์

    ....ดังนั้นในวันที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงกรุงเวสาลีนั่นเอง รัตนสูตร นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสใกล้กรุงเวสาลี เพื่อกำจัดอุปัทวะ(ความอุบาท์) เหล่านั้นท่านพระอานนท์ก็เรียนเอา เมื่อจะกล่าวเพื่อเป็นปริตร(ป้องกัน) จึงเอาบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำมา เดินประพรมทั่วพระนคร.

    พอพระเถระกล่าว ยงฺกิญจิ เท่านั้น พวกอมุษย์ที่อาศัยกองขยะและที่ฝาเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปตอนแรก ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง 4 ประตูทั้งหลาย ก็ไม่มีที่ว่างอมุษย์บางพวกเมื่อไม่ได้ที่ว่างประตูทั้งหลาย ก็ทะลายกำแพงเมืองหนีไป...

    ......................................................................................
    ผมเข้าไปอ่านในเวป ล่ะ อ่านเกือบหมด แต่พออ่านมา เจอกับประโยคนี้เข้าก็เลยถึงบางอ้อ...(นี้หรอครับ อันตรายของน้ำมนต์ น้ำมนต์ไปไล่ พวกอมนุษย์ พวกอมุษย์เลยได้รับอันตราย จึงถือว่าอันตรายจากน้ำมนต์) โธ่ๆๆ ท่านแปลความหมายจากพระไตรปิฏกออกมาแค่นี้ แล้วสรุปเลยหรอ..

    ท่านไม่รู้และเข้าใจ ให้ถ่องแท้ แต่เอาความเข้าใจของตนเองเป็นใหญ่ เอาความรู้ความสามารถเท่าที่ตนมี เป็นบรรทัดฐาน โดยอ้างอิงจากพระไตรปิฎก แต่ท่านไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

    โอ้...อนิจจา การอ่านการเรียนเป็นพิษ อย่าสอนคนอื่นต่อไปเลยครับ การสอนคนอื่น ถ้าท่านไม่รู้จริง จะเป็นบาปอย่างหนัก ผมเข้าไปอ่านแล้ว แต่ดูเหมือนว่า ท่านใช้บรรทัดฐานตัวเองเป็นพื้น ถ้าใครไม่ทำตาม ไม่ต้องเข้ามาที่วัด ลดละ เลิกไม่ได้ ไม่ต้องมา ไม่เรียนพระไตรปิฎก ไม่ต้องมา เชิญ....นี้หรอคำสอนของพระสงฆ์ พระสงฆ์ท่านสอนอย่างนี้หรอ เอาความคิดของตนเป็นใหญ่ เหมือนเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง เหมือนผู้ใหญ่ที่ยึดแต่อุดมคติของตัวเอง คิดว่านุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้ว ตนเองเป็นพระ เป็นผู้บริสุทธิ์ สามารถที่จะชักจูง คนอื่นได้ เพราะคิดว่าเราเป็นพระ...พระที่แท้จริงสอนให้คนรู้ความจริง ให้ละเอียดชัดเจน ไม่ใช่ตัด เอาแต่ส่วนในพระไตรปิฎกมาสอนคนอื่น แล้วใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไป...เพื่อชี้แจงว่า เป็นความจริงทั้งๆที่ท่านเอง ก็ไม่รู้ความจริง นานวันเข้า เรือที่ลอยน้ำ บุคคลโยนสิ่งสกปรกลงไป ย่อมจะจมลงได้สักวัน การเข้าใจพระไตรปิฎก อย่างผิดๆๆ มีโทษต่อตัวเองก็มากแล้ว และถ้าสอนคนอื่นอีก โทษนั้นก็จะเพิ่มทวีคูณ....

    เฮ้อ....อนิจจา

    ขออธิบายเพิ่มเติม ....

    แรกเริ่ม เลยพระพุทธองค์ท่านยังไม่ตรัสรู้ รู้เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ เหตุให้เกิดความดับทุกข์ ท่านไม่เคยบอกเลยว่า ท่านตรัสรู้ ท่านใช้วิริยะ อุตสาหะ อธิษฐานจิตขอบุญกุศลชาติก่อนๆที่ท่านเคยสะสมมาให้ช่วยท่านตรัสรู้ ซึ่งสัมโพธิญาณ สัมมาสัมพุทธเจ้า ...จนกระทั่งท่านตรัสรู้ด้วยต้วเอง ประกาศของจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ว่า เรารู้แล้ว เรารู้แจ้งแล้ว เหตุแห่งความเกิดแห่งทุกข์ของเราไม่มี กิเลสความเศร้าหมองของเราไม่กำเริบอีกต่อไปแล้ว...

    พระธรรมคำสั่งสอนที่แท้จริง ออกมาจากพระโอษฐ์จึงมีแต่ความจริงล้วน ไม่มีกฎ ไม่มีเกณฑ์ แน่นอนตายตัว แต่ทุกคำที่พระองค์ตรัสออกมานั้น ล้วนแล้วแต่น้อมนำให้จิตใจผู้ฟังนั้น ค่อยๆหลุดพ้นจากกิเลสความเศร้าหมอง ท่านไม่ได้ห้าม บุคคลทุรภาพ ไม่ได้ห้ามแม้กระทั่งพวกนิกายอื่น ไม่ได้ตั้งกฎ ว่าท่านต้องถอดนั้น ถอดนี้ออกน่ะ เวลาเข้ามาหาเรา มีบ้างในการที่บุรุษถือ ศาสตรา อาวุธเข้ามาท่านจะไม่คุยด้วยกับบุคคลเล่านี้ เพราะอะไร เพราะว่าเขาเหล่านั้นยังถือ เครื่องประหารสัตว์อื่นอยู่.สมณะไม่สนทนาธรรมด้วย เป็นประเพณีของสมณะ แต่ก่อนมา..

    แต่คำสอนของพระภิกษุรูปนี้ ส่อออกในทางตั้งกฎ ตั้งเกณฑ์ คล้ายๆ การแต่งตั้งตัวเอง เป็นใหญ่เป็นบรรทัดฐาน กำผิดกำถูก ในพระไตรปิฎก ไม่เข้าใจท่องแท้ คำสอนออกไปในทางแวกแนวในคำสอนก่อนๆที่พระสมัยก่อนๆ พระธุดงค์ รูปต่างๆ ที่ท่านท่องเที่ยว ไปตามป่า ตามเขา แม้เวลาท่านเจอกับพระพุทธรูปเก่าๆ ในสถานที่ห่างไกล ไม่มีผู้คนอาศัย พระธุดงค์ท่านยังทำความสะอาดแล้วจัดแจง วางไว้ในที่สมควร สักการะบูชา พระรูปใดที่ท่านธุดงค์ ท่านจะรู้ดี สถานที่แห่งใด มีการก่อสร้างพระพุทธรูปไว้ เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระยานาค ที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้าจะคุ้มครองไว้ มิให้สิ่งใดมาทำลายได้ ไม่รู้ว่า พระรูปนี้เคยธุดงค์หรือเปล่า ความรู้สึกของการไม่มีที่พึง สถานที่ที่ไร้ผู้อื่น อยู่แต่คนเดียว สภาพอากาศที่เลวร้าย ไม่ได้สุขสบาย มีแต่ธรรมชาติล้วน แม้กระทั่งเผลอคิดไม่ดีออกไป อันตรายจากพวกอบายภูมิต่างๆ จะเข้าทำร้ายได้ทันที เพราะการขาดสติ ในการคิด การยืน การเดินหรืออิริยาบถทั้ง 4 ฯลฯ..

    ผมอยากรู้เหลือเกินว่าถ้าพระภิกษุรูปนี้ เดินธุดงค์เข้าไปในป่า แล้วเจอพระพุทธรูป ใช้เท้าเตะบ้าง ใช้ก้อนหินทุบ เยี่ยวใส่บ้าง นั่งทับบ้าง พูดออกมาว่าเป็นเพียงแค่พระพุทธรูป ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระภิกษุรูปนี้ จะสามารถออกจากป่า ออกจากสถานที่เหล่านั้น ด้วยสติปัญญา สมบูรณ์หรือไม่...

    ไม่ได้สบประมาณ แต่ถ้ามีเหตุผลที่ดี เข้าใจได้ ในเรื่องนี้ ผมเองก็พร้อมจะรับฟัง แต่ถ้าไม่ถูกแล้ว แต่ยังฝืนสอนคนอื่นต่อไป ท่านนั้นเอง จะเป็นผู้หลงตลอดกาล หลงทั้งทั้งที่ กอดพระไตรปิฏกไว้ในอก...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2008
  3. MegaFM

    MegaFM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,446
    พระรูปนี้แปลกแฮะ

    ผมคนนึงที่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของท่าน
     
  4. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    รบกวนคุณตาบอดช่วยขยายความเป็นความรู้ด้วยครับ
    ว่าท่านเข้าใจไม่ถ่องแท้อย่างไร ตรงไหนข้อความไหนครับ
    และที่ถูกต้องควรเข้าใจแบบไหน อย่างไรครับ
     
  5. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    หลักการที่ว่า พระต้องมีจิตใจเมตตาแบบสุดๆๆๆนั้นผมก็คิดว่าไม่จำเป็นเสมอไปนะครับ

    อย่างเรื่องท่านตั้งกฏ กติกาแบบนั้นก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน
    พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านจิตใจบริสุทธิ์ มีเมตตาประมาณไม่ได้ มีอิทธิฤทธิ์ท่านยังไม่สามารถอธิบายให้คน ทุกคน ทั่วโลกในสมัยนั้นได้ นับประสาอะไรกับหลวงปู่ครับ
     
  6. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    อนุโมทนาสาธุทุกบุญกุศลบารมีครับ

    มีความคิดเห็นที่ละเอียดปราณีต มีทุกข์โทษน้อย มีคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนามากอยู่เยอะครับ สาธุทุกบุญกุศลบารมีครับ

    เป็นห่วงความคิดเห็น(จากทุกฝ่าย)ที่ไม่คลุมรอบสาราณียธรรม อัปมาทธรรม กุศลธรรม เมตตาธรรม หรือพระพุทธการกธรรม อันอาจยังผลให้มีโทษอันตรายเจืออยู่ทั้งต่อตนเองและท่านอื่นๆส่วนรวม ครับ

    ผมสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า10องค์ พระเครื่องขนาดเล็กนับหลายแสนองค์(ตามที่พระพุทธองค์ท่านทรงมีพระพุทธานุญาตไว้ในสมัยพระพุทธกาล ถ้าที่ผมเคยอ่านมาเข้าใจไม่ผิด)ถวายไว้ในพระพุทธศาสนามาหลายปีแล้วครับ และจะสร้างต่อไปครับ ขอให้การดำเนินงานเป็นไปโดยส่วนที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไปครับ

    ได้ทราบประวัติตำนานการสืบทอดรักษา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดประวัติศาสตร์ไทย โดยผูกพันกับการสร้างพระพุทธรูป มาหลายเรื่องครับ (เช่น นักบวชฤาษี พระนางจามเทวี พระนเรศวร สมเด็จโต วัดระฆังฯ รวมทั้งบุคคลต่างๆในสมัยปัจจุบัน ฯลฯ)

    ในเรื่องของปัญหาทุกข์ในโลก บางท่านไม่ท้อถอยที่จะเผชิญแก้ไขปัญหายากๆ เพื่อส่วนรวม บางท่านก็ถอยออกมาเมี่อระดับของปัญหาสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามภูมิวิสัย ท่านที่อยู่จนสามารถแก้ปัญหาทุกข์ที่ละเอียดลึกซึ้งปราณีตได้สำเร็จสันติสงบอย่างถูกต้องเป็นประโยชน์ทั้งส่วนตน ญาติ และโลก เป็นที่น่ายกย่องเคารพและศึกษาเพื่อปฏิบัติตามยิ่งนัก

    ผมรู้สึกเห็นใจมหาเถรสมาคมและผู้เกี่ยวข้องมากครับ

    (ผมจะอีดอัดอย่างมากถ้ามีการห้ามสร้างพระพุทธรูปถวายไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นรัตนตรัยบูชา หรือมีบุคคลทำลายพระพุทธรูปที่เป็นแหล่งสร้างศรัทธาและพุทธธรรมต่อหน้าครับ)

    ผิดพลาดพลั้งไปขออภัยขมาครับ
     
  7. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ผู้ยังยึดติดย่อมย่อมโกรธและเดือดร้อนแทนพระพุทธรูปองค์นั้น เป็นเดือดเป็นแค้นแทนตนเหมือนมีใครทำกับร่างกายตน ให้ตนเจ็บ แสบ ร้อนรุ่ม (แล้วจริงๆมีใครทำกับร่างกายคุณหรือเปล่า)


    ผู้ไม่ยึดติดย่อมพิจารณาเห็นธาตุต่างๆ ตามที่มันเป็นไป เพราะมันก็เป็นของมันอยู่แล้ว ตามกฎธรรมชาติ

    เห็นดวงจิตดวงใจต่างๆ ที่ยังมืดบอด แบ่งพวกเขาพวกเรา ตัดสินถูกผิด เพ่งโทษผู้อื่น

    ถือลาภสักการะ ถือยศ ถือศักดิ์ ถือหัวโขนแล้วไม่รู้จักถอด พอสติใกล้จะออกจากร่าง ก็ไม่รู้จะไปยึดไว้ที่ไหนดี



    แท้จริงแล้ว ทั้งพระพุทธเจ้า มนุษย์ คนและสัตว์ ต่างไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากจิตๆหนึ่ง

    ต่างตรงที่ พระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน



    ในเมื่อคุณและดิฉันต่างก็ยังไม่ตื่น คงไม่ใช่สาระที่จะมากล่าวโทษกันในตอนนี้


    อย่าไปติดอะไรในโลกนี้เลย เพราะเราแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2008
  8. มรณาติ

    มรณาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +190
    ถึงพระจะเข้าใจได้ ว่าเจตนาของคนสร้างพระพุทธรูป คือให้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าให้คนบูชากราบไหว้คุณความดี ก็ได้ทำกรรมอันหนักหนาแล้ว
    กรรมเพราะความไม่รู้เพียงเท่านี้ ทำให้คนตกนรกมานักต่อนักแล้ว ถึงจะบำเพ็ญเพียรเท่าไหร่ก็ตาม
    พระท่านคงไม่เคยอ่านเรื่องของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่ว่า เป็นเด็กไม่รู้เดียงสา ไปลบหลู่ขีดเขียนรอยเท้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าเล่น พอตายก็ตกนรกไปนานแสนนาน ทั้งๆ ที่ทำไปเพราะไม่รู้

    น่าสงสาร
     
  9. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    เอาแม่น้ำทั้ง 5 มาพูดโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อตาม
     
  10. นักธรรมเอก

    นักธรรมเอก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +761
    ได้อ่านข่าวนี้ทีไรใจมันหดหู่เหลือเกิน ถ้าท่านติดป้ายห้ามคนกราบไหว้ต้นไม้ ก้อนหิน หรือสัตว์ที่เกิดมาแปลกประหลาด จะดีที่สุดประเสริฐที่สุด แต่ ท่านกลับสอนไม่ให้คนกราบไหว้พระพุทธรูป องค์แทนพระพุทธเจ้า ช่างไร้สติสิ้นดีนี่หรือผู้ปฏิบัติธรรม อยากถามพระเกษมว่าถ้ามีวัยรุ่นคนนึงเดินไปพบท่านไม่ไหว้ไม่กราบท่านแล้วคุยเหมือนเป็นคนทั่วๆไป จะรู้สึกอย่างไร หรือหนักไปกว่านั้นคือ เดินกอดคอคุยเลยแล้วนั่งกินข้าวร่วมวงเดียวกับท่าน ขึ้นไปนั่งเล่นๆบนอาสนะนิ่มๆของท่านพระเกษม จะรู้สึกสะท้อนใจหรือไม่ นี่ขนาดท่านเจ้าคณะจังหวัด (ธรรมยุต) ให้คณะนำหนังสือสั่งการไปมอบให้ยังไม่ปฏิบัติตามแถมดื้อดึงขัดคำสั่ง นี่ถ้าเป็นทหารนะขังไปเลย 7 วัน ค่อยออกมาสอบสวนเอาผิดทางวินัยอีก สงสัยคงบรรลุไปแล้วมั้งถึงไม่สะทกสะท้านอะไรเลย น่าเศร้าใจมาก มันยังจะมีอีกมั้ยน้ะคนประเภทนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2008
  11. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    ท่านทั้งหลาย ลองไปค้นหาในพระไตรปิฎก ฉบับ 91 เล่มนะ ค้นหาคำว่า พระพุทธรูป นะ จะเจอเพียงแค่
    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 79
    พระกระยาหารเสวยแห่งพระราชา ในที่ทุกสถาน. ตัวผึ้งทั้งหลาย ก็ทำน้ำผึ้ง.พวกหมี ก็ผ่าฟืนที่โรงวัว. พวกนกการเวกก็บินมาร้องส่งเสียงอย่างไพเราะ
    ทำพลีกรรมถวายแด่พระราชา.
    [พระเจ้าอโศกรับสั่งพญากาฬนาคเนรมิตพระพุทธรูปให้ดู]

    <SUP>*</SUP>พระราชาผู้ทรงประกอบแล้วด้วยฤทธิ์เหล่านี้ วันหนึ่งทรงใช้สัง-
    ขลิกพันธ์ อันกระทำด้วยทอง ให้นำพญานาคนามว่า กาฬะ มีอายุตลอด
    กัปหนึ่ง ผู้ใดพบเห็นพระรูปของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์เชิญให้ขนดเหนือ
    บัลลังก์ อันควรค่ามาก ภายใต้เศวตฉัตร ทรงกระทำการบูชา ด้วยดอกไม้
    ทั้งที่เกิดในน้ำ ทั้งที่เกิดบนบก หลายร้อยพรรณและด้วยสุวรรณบุปผา ทรง
    แวดล้อมด้วยนางฟ้อน ๑๖,๐๐๐ ผู้ประดับแล้วด้วยอลังการทั้งปวงโดยรอบ
    ตรัสว่า เชิญท่านกระทำพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงยังจักร คือ
    พระสัทธรรมอันประเสริฐให้หมุนไป ทรงพระญาณอันหาที่สุดมิได้ ให้ถึงคลอง
    แห่งดวงตาเหล่านี้ของข้าพเจ้าก่อนเถิด ดังนี้ ทอดพระเนตร
    พระพุทธรูปอัน
    พญานาคนามว่า กาฬะ นั้นเนรมิตแล้ว ประหนึ่งว่าพื้นน้ำอันประดับแล้วด้วย
    ดอกกมล อุบล และปุณฑริกซึ่งแย้มบาน ปานประหนึ่งว่าแผ่นฟ้า อันพราว-
    พรายด้วยความระยิบระยับด้วยการพวยพุ่งแห่งข่ายรัศมีของกลุ่มดารา เพราะ
    ความที่
    พระพุทธรูปนั้น ทรงมีพระสิริด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
    ประดับแล้วด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ซึ่งบังเกิดแล้วด้วยอำนาจแห่งบุญ
    อันพรรณรายทั่วพระสรีระทั้งสิ้น งดงามด้วยจอมพระเศียรอันเฉิดฉายด้วยพระ
    เกตุมาลา ซึ่งปราศจากมลทินสีต่าง ๆ ประหนึ่งยอดแห่งภูเขาทอง อันแวดวง

    ด้วยสายรุ้งและสายฟ้า อันกลมกลืนกับแสงเงิน เป็นประหนึ่งจุดูดดึงดวงตา

    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 80​
    แห่งคณะพรหมทวยเทพมวลมนุษย์ฝูงนาค และหมู่ยักษ์ เพราะ​
    พระพุทธรูป

    นั้นมีความแพรวพราวด้วยความฉวัดเฉวียนแห่งพระรัศมีอันแผ่ออกข้างละวา
    วงล้อมรัศมีอันวิจิตรด้วยสีมีสีเขียวสีเหลืองสีแดงเป็นต้น ได้ทรงกระทำการบูชา​
    อันได้นามว่า บูชาด้วยดวงตา ตลอด ๗ วัน.

    ไม่มีการกล่าวถึงการสร้าง อานิสงค์ในการสร้างใดๆเลย
    แม้แต่ในมิลินทปัญหาก็ไม่มีกล่าวถึง

    ที่อ้างกันต่างๆนานาท่านได้แต่ใดมาช่วยชี้แจงแถลงไขด้วยเถิด
     
  12. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    หลวงพ่อท่านนั้นละอนาคามี ส่วนผมเป็นแค่ฆารวาส ไม่เคยเจอกับหลวงพ่อเกษม ท่านอยู๋เพรชบูรณ์ ส่วนผมอยู่ชลบุรี และก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน ไม่เคยคุยกันด้วย แต่รู้แล้วกัน ท่านสอนถูกแล้ว สอนแบบหักด้ามพร้าไปเลย จะไปสนใจทำไม สิ่งรอบข้างทำไม ไม่จำเป็นต้องกราบพระพุทธรูปแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า ไปกราบ พ่อแม่แล้วนึกว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ไปกราบพระสงฆ์องค์ใดก็ได้ที่เรานับถือ แล้วนึกว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ไปกราบศพคนตายแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ ไปกราบคนพึ่งเกิดแล้วนึกถึงพระพพุทธเจ้าก็ได้ ไปกราบคนแก่แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ กราบสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ แต่เรากราบสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเห็นว่านั้นคือทุกข์
     
  13. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    พระพุทธรูปไม่ใช่พุทธานุสสติ ไปศึกษามาใหม่ดิคับ เอาให้แตกฉานเลยนะ
    คนทั่วไปคิดว่าพระพุทธรูปคือพุทธานุสสติ แล้วการที่คนเราเข้าไปถึงจิตแห่งพุทธะละคือจิตแห่งพระพุทธรูปหรือ เอาสิ่งที่เป็นวัตถุเข้าไปไว้ในจิตแล้วเมื่อไรจะเจอพระพุทธเจ้าละ เมื่อไรจะเข้าใจความหมายของคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริงละ
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คนที่ยังสนับสนุน พระรูปนี้อยู่ อย่าให้ศรัทธามันบังตาท่านไปมากกว่านี้เลย
    คุณ คิดว่าคนทั่วบ้านทั่วเมืองเขา ไม่มีวิจารณญาณหรือครับ เรื่องมันง่ายที่สุด ขนาดพระป่าทุกๆท่านเมื่อเข้าไปในโบสถ์ยังกราบพระพุทธรูปเลย แล้วนี่บ้าหรือไร บอกว่าไม่ต้องไปกราบมัน

    เรื่องหลวงพ่อเกษม นี่ผมพูดมาเยอะนะ ไม่รู้ว่าโดนลบความเห็นไปหรือไร
    ผมอยากบอกให้คนที่ ออกมาแจกซีดี ออกมารับผิดชอบในกรณีนี้ด้วย ผมเคยห้ามไปแล้วบอกไปแล้วว่า มันเป็นกรรมไม่ดี เพราะเผยแพร่สิ่งผิดๆ ก็ไม่ฟัง

    นี่มาจนถึงป่านนี้แล้ว ต้องรอให้พระเกษม เยี่ยวรดพระพุทธรูปหรือไร

    ผมจะบอกเลยนะครับว่า คนที่สนับสนุนพระเกษม เวลาตายไปก็เตรียมคำตอบกับยมบาลท่านให้ดีว่า คุณมีส่วนร่วมในอนันตริยกรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด
    คุณมีส่วนร่วมในการทำลายพระศาสนาให้อันตรธานหรือไม่เพราะเหตุใด

    และหากแม้ว่า คุณบอกว่าคุณไม่รู้ อย่างไรเสียกรรมนั้นจะปกปิดตาธรรมของคุณ นี่ผมเตือนด้วยความหวังดีทั้งสิ้น

    คนยังละสีลพตรปรามาสไม่ได้ เขาก็ควานหาทางไปเรื่อยๆ โอนบุญบ้าง น้ำมนต์รดผีแขนขาขาดบ้าง
    สวดชินบัญชร แล้วไม่ดีบ้าง มาถึงตอนนี้ ก็มาถึงพระพุทธองค์ ว่าอย่าไปกราบมัน นี่มันจะทำลายศาสนาไปเรื่อยๆ แล้วไม่เห็นหรือไง

    คำสอนต่างๆ ไม่มีเรื่องของการดับกิเลสเลยสักนิด ไม่มีการเดินออกจากกิเลสเลยสักนิด
    ไม่มี ใจความแห่งพระศาสนาเลย พวกท่านยังจะปกป้องยังลังเลกันอีกหรือ
     
  15. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    ดังจะเห็นได้ว่า ไม่มีรูปหรือวัตถุใดๆจะแทน องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ข้างบนที่อ้างถึงเป็นการเนรมิตด้วยอำนาจฤทธิ์ แต่ถ้าท่านค้นหาคำว่า พระธาตุ จะมีกล่าวถึงมากมายเลยทีเดียว ที่พระพุทธองค์สรรเสริญ และให้สักการะบูชา
     
  16. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 116​
    สีนิล ล้วนเกลื่อนกล่นไปด้วยวรรณสัณฐานอันงดงาม ครั้ง
    นั้น พระศาสดาทรงทราบว่าเรายินดีใน
    พระพุทธรูป จึงได้
    ตรัสสอนเราว่า อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่า
    เกลียด ซึ่งคนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม
    บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็
    ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้
    มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่างล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความ
    เกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุด
    แห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย เราอันสมเด็จพระโลกนาย
    ผู้แสวงหาประโยชน์พระองค์นั้น ทรงพร่ำสอนอย่างนี้
    ได้ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพ่งดูอยู่ที่ซอกเขา พระพิชิตมาร ผู้
    มหามุนีประทับยืนอยู่ที่เชิงเขา เพื่อจะทรงปลอบโยนเรา
    ได้ตรัสเรียกว่า วักกลิ เราได้ฟังพระดำรัสนั้นเข้าก็เบิกบาน
    ครั้นนั้นเราวิ่งลงไปที่เงื้อมเขา สูงหลายร้อยชั่วบุรุษ แต่
    ถึงแผ่นดินได้โดยสะดวกทีเดียวด้วยพุทธานุภาพ พระผู้
    มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา คือความเกิดขึ้น-
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลายอีก เรารู้ธรรมนั้น
    ทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ผู้มีพระปรีชาใหญ่ ทรงถึงที่สุดแห่งจรณะ ทรงประกาศใน
    ท่ามกลางแห่งมหาบริษัทแห่งสัตบุรุษว่า เราเป็นผู้เลิศ

    กว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายศรัทธาธิมุตติ ในที่แสนกัปแต่กัปนี้

    ชัดเจนหรือยัง ตอบได้ทุกประเด็น
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตอบได้ทุกประเด็น จริงหรือ คุณจะยกเอาพระสูตรนี้มาพูดแบบนี้ไม่ได้
    เพราะว่า พระสูตรนี้ พูดในเชิงสอนว่า สิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นคือ การมองดูกิเลส ไม่ได้เอาแต่ยึดกับพระพุทธรูป แต่ไม่ได้หมายความว่า ท่านสอนให้ย่ำยี

    คุณกำลังเอาความดีมาปิดบังความชั่วได้อย่างน่ารังเกียจมาก

    ผมจะอุปมาว่า ครูบาอาจารย์บอกว่า เอารูปอาจารย์ไประลึกนั้นไม่ได้ประโยชน์หรอก ขอให้ระลึกถึงแต่คำสอนในการละกิเลสหรอก แล้วไอ้ศิษย์ชั่ว มันบอกว่าเป็นลูกศิษย์อาจารย์ท่านนั้นแต่มันเอารูปอาจารย์ ไปเขียนว่า ไม่ต้องไปกราบมัน มันเป็นแค่รูป จากนั้นก็สอนศิษย์คนอื่นให้ทำตาม
    อาจารย์คงจะปวดหัวว่า ไอ้ควายเอ๋ย คนอย่างมึงมันสุดโต่งจริงๆ กูสอนให้มึงพิจารณาให้มากไม่ใช่ยึดติด แต่ไม่ได้หมายให้มึงมาทำลาย ทำไมจึงเป็นคนสุดโต่งแบบนี้

    คุณว่า ไอ้ศิษย์โง่นี้มันสมควรทำแบบนี้ไหม
     
  18. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    ปากบอกว่าเป็นชาวพุทธ นับถือพุทธ ศรัทธาพระพุทธเจ้า ที่ปากพูด บอกนั้นเป็นชาวพุทธจริงแน่หรือ ศีลบริสุทธ์หรือยัง ดูแล้วผู้มีพระคุณที่ใกล้ตัวเราแล้วหรือยัง ไปทำบุญกราบพระภิกษุครบทุกองค์ไหม หรือจ้องจะไปไห้วพระพุทธรูปกันอย่างเดียว พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราทุกคนหลุดพ้นแห่งกองทุกข์ซึ่งคำสอนของท่านไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุใดๆเลย แต่มนุษย์กับคิดเพื่อเอาเข้าตัณหาของตัวเอง ว่าวัตถุที่กราบไหว้คือตัวแทนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้หรือว่าปากบอกว่าเป็นชาวพุทธ
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ที่สำคัญ ไอ้ศิษย์ของไอ้ศิษย์โง่ นั้นเอาคำพูดของ ครูบาใหญ่มาว่า อาจารย์ใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า ไม่ต้องยึดติดในรูป แต่ให้พิจารณาให้มาก เอามาแก้ต่างแบบโง่ๆ ตามอาจารย์โง่ของมันอีกทอดหนึ่ง

    นี่ใครมาเถียงมา จะด่าให้หายโง่เลย
     
  20. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 406
    การออกจากมรรคของภิกษุนั้น ย่อมมีในขณะนั้น. ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้ว
    แก่ภิกษุผู้มรรคสมังคี. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นนั่ง ณ วิหาร หรือ โรงฉัน
    อุบาสกทั้งหลายถือบาตรไปสู่เรือนของตนแล้ว ใส่ขาทนียะและโภชนียะ. การ
    ออกจากมรรคของภิกษุนั้น ย่อมมีในขณะนั้น . ทานแม้นี้ ชื่อว่าให้แล้วแก่ภิกษุ
    ผู้มรรคสมังคี. พึงทราบความที่ทานอันบุคคลให้แล้วแก่ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง
    ซึ่งโสดาปัตติผลนั้น เหมือนน้ำในลำรางไม่อาจนับได้ฉะนั้น. พึงทราบความที่
    ทานอันบุคคลให้แล้วในบุคคลทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้น ดุจน้ำในมหา-
    สมุทรแล ในบรรดามหานทีนั้น ๆ เป็นอันนับไม่ได้. พึงแสดงเนื้อความนี้
    แม้โดยความที่ทำฝุ่นในสถานสักว่าลานข้าวแห่งแผ่นดินเป็นต้น จนถึงฝุ่นทั้ง
    แผ่นดิน อันประมาณไม่ได้.
    เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภว่า ก็ทักขิณา ๗ อย่างนี้.
    ทรงปรารภเทศนานี้ ที่ตรัสว่า ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อ
    ถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมาภาพและสงฆ์ เพื่อทรง
    แสดงว่า ทานที่ให้ในฐานะ ๗ นั้น เป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์แล้ว. บรรดาบท
    เหล่านั้น บทว่า พุทฺธปฺปมุเข อุภโตสงฺเฆ ความว่า สงฆ์นี้คือ ภิกษุสงฆ์
    ฝ่ายหนึ่ง ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายหนึ่ง พระศาสดาประทับนั่ง ณ ท่ามกลาง ชื่อว่า
    สงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. บทว่า อยํ ป
     

แชร์หน้านี้

Loading...