ลักษณะ ความรู้ขั้นโลกุตระ..ที่ควรสังเกตุ

คลิป เดียว ครบ ถ้วน กระ บวน ความ..

 

กินแล้วมันอิ่มท้อง แต่อ่านธรรมของหลวงพี่มันอิ่มใจนะท่านดีเจ
แยกย้ายนอนท่าน

 

เหมือนสวิทต์โหมด ก็แปลว่ามันต้องเกิดรักโลภโกรธหลงแล้วถึงรู้ แล้วถึงจะสวิทต์โหมดไป ทีนี้จะใช้วิธีมองแบบไหน แบบธรรมชาติ แค่ธาตุกับธาตุกระทบกันก็อีกขั้นตอนต่อมา ถูกไหมครับ ก็คือยังใช้ความคิดไปตะล่อมจิตอยู่ดี

 

หว้าลิเกคู่พระเอกพระรองย้ายกระทู้มาเล่นที่ใหม่แต่เรื่องเดิม 555 มาไม่ทัน พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ 555 ชอบๆ โล้นซ่าส์บ้าหวยกับนายมะโน ยังมีชื่ออีกมากเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เอาชื่อนี้ดิ ไอ้ร่องแม้น 555 พระเอกชื่อ โทนี สะตากนะ 555 ไม่ใช่ลุงโทนี่ ไอ้หน้า...555 ชอบๆ ธรรมมารมณ์ ใช่ป่าว 555

 

อย่าดื่มมากนักสิ ว่างก็เข้ามาเลย มัวแต่หาอะไรดื่ม แล้วจะทันคนอื่นได้ไง..

แต่บทที่โยมได้รับ ก็เล่นง่ายจริงๆล่ะเนาะ

 

มี 2 กรณีท่าน
กรณีแรก คือการเห็นโลกที่เป็นแค่ธรรมชาติหนึ่งกระทบกัน อย่างนี้ใช้ตอนที่อยู่คนเดียว ขับรถ เดิน กินข้าว อาบน้ำ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ข้องเกี่ยวกับคนอื่น... มันเป็นเครื่องอยู่ของจิตที่ผมใช้หลบทุกข์จากการกระทบของผัสสะตาบ้าง หูบ้าง เปรียบเหมือนโหมดตั้งการ์ด

กรณี2 คือ เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับโลก คุยกับคน ทำงาน ในชีวิตประจำวัน หรืออะไรที่ต้องเข้าไปในเรื่องราว แบบนี้จะปล่อยเลย.. ไม่ได้เข้าเห็นโลกว่าแบบที่เห็นเป็นธรรมชาติหนึ่ง ผมจะเรียกตอนนี้ว่าตอนขาดสติ (ทุกข์จะสามารถเกิดขึ้นได้จากตรงนี้) หากมีผัสสะที่ไม่น่าพอใจมากระทบ ...
** ส่วนตรงนี้คงจะเป็นตรงที่ท่านถาม ถ้าเกิดผัสสะที่น่าพอใจ ไม่น่าพอใจ ในตอนขาดสติ จะเป็นอย่างไร ... ตัวอย่างถ้ารับผัสสะไม่น่าพอใจ อย่างได้ยินเสียงคนนินทา เมื่อมีสติรู้ว่าเกิดเวทนาขึ้นในจิต (ตรงนี้เวทนาเกิดแล้ว ภพ ชาติ ไปครบ ช่างมันท่าน) สวิตซ์โหมดไปแค่ธรรมชาติกระทบ... แม้คำนินทานั้นยังได้ยินอยู่ แต่เวทนาในจิต ภพ ชาติ ขาดลงแล้วท่าน...
ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนนักปฎิบัติที่วางอารมณ์ได้เร็ว ... แต่ในการวางอารมณ์ของนักปฎิบัติ อาจใช้หลายขณะในการวางอารมณ์ ขึ้นอยู่กับกำลังจิตกำลังสติที่ฝึกมาท่าน ...ในข้อแตกต่างของโสดาบัน คือสวิตซ์โหมดได้ทันที ที่มีสติ เวทนาขาดลงเดี๋ยวนั้นท่าน
(ถ้ากล่าวทุกข์ของโสดาบันตามที่พุทธองค์ตรัสว่าเหลือน้อย คงเป็นตรงนี้)

แบบนี้ท่าน ถ้าท่านถามเพราะอยากรู้ในสิ่งที่อยากรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่? โสดาบันจริงๆเป็นแบบไหน ปล่อยวางได้มากน้อยแค่ไหน หรืออยากพิสูจน์ ให้ท่านคิดว่าผมไม่มีตัวตนจริง..อะไร ชีวิตจริงเราไม่รู้จักกัน ไม่มีได้เสียอะไรกับการบอกว่าได้โสดาบันแล้ว แต่มันไปตามเหตุปัจจัย อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับหลายท่านที่สนทนากันในบอร์ดนี้... หากท่านยังติดใจว่า สิ่งที่กล่าวมาจริงหรือไม่ ฆราวาสในยุคนี้มีคนบรรลุธรรมได้จริงๆหรือเปล่า สามารถนำธรรมของพุทธองค์เป็นเครื่ิองตรวจสอบได้ ไม่ไช่กล่าวท้าทายท่าน แต่ในบอร์ดนี้มีคนที่มีความรู้ทางธรรมมากมาย ความเห็นหลากหลายกันไป คงต้องใช้ธรรมของพุทธองค์เป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ยินดีตอบให้ทุกอย่างที่รู้เห็นตามจริง ไม่รู้ก็จะตอบไม่รู้นะท่าน

 

หรือผมเป็นเหตุให้ กระทู้ลงหลุมดำนะหลวงพี่ครับ

 

การตัดได้ไวของคุณผมดูว่ามันเป็นเรื่องของความชำนาญในการดึงสัญญาความจำได้ในอารมณ์ตรงนั้นมาใช้ (ก็คล้ายๆเกาะพระพุทธรูปแหละ แต่อันนี้เกาะความจำได้ในสภาวะที่บังเอิญเคยประสบพบเจอมาและดูว่ามันเป็นความตื่นตาตื่นใจของคุณ) ก็คือยังต้องพึ่งพิงในเรื่องของสัญญา ยึดเอาสัญญาอารมณ์อันนั้นมาใช้ช่วยไม่ให้จมน้ำอยู่ ผมมองแบบนี้นะ คุณจะทันตรงนี้หรือเปล่าไม่รู้

ถ้าคุณไม่รู้วิธีการนี้ว่าเป็นแค่การลูบคลำเป็นแค่การประคับประคองตะล่อมจิตไปก่อนเพื่อความไม่ประมาท ส่วนจิตแท้จริงไม่สามารถไปบังคับบัญชาอะไรเขาได้อย่างที่ใจต้องการ จิตจะดับทุกข์ได้ด้วยตัวจิตเองเมื่อเหตุปัจจัยภายในของจิตถึงพร้อมเอง

ถ้าคุณยังคิดว่าคุณสามารถจะทำเพื่อให้เขาดับทุกข์ได้ตามใจปรารถนาของคุณละก็ แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจเรื่องความมีสักกายทิฏฐิเลยแม้แต่น้อย คุณยังสำคัญว่าจิตเป็นตน ตนคือจิต เชื่อว่าจิตบังคับได้ ทุกการกระทำที่คุณพยายามเพื่อมุ่งหวังบังคับจิตให้เปลี่ยนแปลงตามใจปรารถนา เพื่อบรรลุธรรมในแบบที่คุณเชื่อ นั่นคือกริยาที่เรียกว่าสีลพตปรามาส ลูบๆคลำๆไปตามความเชื่อตามสักกายทิฏฐิแห่งตนทั้งหมดนะครับ ฝากเป็นข้อพิจารณาด้วยครับ

 

ผีฟ้าเอ้ยนับว่าแกมีความฉลาดอยู่บ้าง
ดูละครละย้อนมาสอนใจตัวเองบ้าง
อย่าเนียมดูฟรีอย่างเดียว55

 

คนเราแก่ที่ศีลธรรมไม่ใช้มโนเอาเด็กเห้อหมอยที่ไม่ไม่มีศีลธรรมแก่กว่าตัว
หัวไม่ได้มีไว้คั่นหูอย่างเดียว

 

สติตื่นมีจุดบอดตรงไหนหรอ

 

มันล้ำหน้าไม่ลงปัจจุบัน
ธรรมชาติสติไม่ล้ำหน้า
กะล้าหลัง
มีแต่ผู้ฝึกดีแล้วระลึกได้ตามจริง

 

ล้ำหน้ายังไง ยก ตย. ให้หน่อย

 

เราจะรู้ก่อนเหตุ
และจะปะสาทแดกแก้ก่อนเหตุอุ้ยฝันเทพสงหอนประมานนี้
ธรรมคือเหตุไม่เกิดแก้อะไร

 

มีแต่กับพวกเข้าชาน สตินิ่งหรอ...อาการแบบหลวงพี่วันๆ ไปคุยกับผีไรงี้ป่ะ

 

พวกวิปัสนายิกจะเกิดมาก
พวกคุยกะผีสติจะช้า
ที่หลวงพี่ฟุ้งแกขี้เกียจนั่งอย่าเสียงดัง55

 

งงอยู่ กับคำว่า สติตื่น แต่ที่พอรู้ สติแบบหันซ้ายรู้ หันขวารู้ ก็แบบหนึ่ง กับอีกแบบอันนี้จะเกิดเองคือพวกเฉลียวใจได้ เช่น อ๋อมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อก่อนไม่เคยเก็ทว่ามันคืออะไรมองข้ามตลอด คือมันเป็นสติที่มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงประกอบเข้ามาด้วย

อย่างเช่น สมมุติว่านั่งสมาธิทุกวันๆก็พยายามจะมีสติอยู่กับคำภาวนาให้ต่อเนื่อง แต่ก็หลุด พอหลุดระลึกได้ก็เริ่มใหม่เรื่อยๆ พอวันหนึ่งก็มาเห็นว่า จริงๆมีการตั้งสติใหม่อย่างนี้บ่อยๆทั้งวัน ไม่ใช่มีแค่ตอนนั่งสมาธิเท่านั้น ตอนไหนๆก็มีตอนที่เริ่มต้นตั้งใจจะทำอะไรก็ตาม แต่เราไม่เคยสังเกตเอง มองข้ามไปตลอด แท้จริงแล้วคนเรามีการตั้งสติใหม่อยู่เรื่อยๆ ไอ้ตัวที่ไปเห็นว่าจริงๆมีการตั้งสติอยู่เรื่อยๆในการที่จะเริ่มตั้งใจทำอะไรใหม่ ตัวหลังนี้รู้ครอบคลุมตัวกระทำประจำวันทั้งหมดอีกที และคอยเป็นพี่เลี้ยงคอยเตือนสติให้รู้ระงับยับยั้งชั่งใจ ตัวนี้จะเรียกตัวสติตื่นหรือไม่ไม่ทราบ แต่ที่พอเข้าใจถ้าเรียกตามกริยาก็จะว่าเป็นสติทางธรรม อันนี้แค่ความเห็นส่วนตัวนะครับ

 

ตามที่อธิบาย ถ้าใช่ตัวเดียวกัน แล้วมันจะมีจุดบอดตรงไหน ตัวนี้มีแต่จะต้องให้รู้ครอบคลุมทุกเรื่องทุกการกระทำนะ ถึงจะเรียกได้ว่ามีสติสมบูรณ์ คิดว่านะ