ถาม-ตอบ ปัญหาการหยุดจ่ายก๊าซจากประเทศพม่า

วันที่ 5 - 14 เมษายน 2556

 

 

ตามที่มีข่าวปัญหาการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากประเทศพม่า ระหว่างวันที่ 5-14 เม.ย. 2556 และส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศนั้นฝ่ายสื่อสารองค์การ

ขอส่งคำถามคำตอบ (FAQ) เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ปฏิบัติงาน กฟผ. (รายละเอียดด้านล่าง)


ถาม เหตุการณ์พม่าจะหยุดจ่ายก๊าซใน วันที่ 5–14 เมษายน 2556 จะส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าหรือไม่

ตอบ การหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาระหว่างวันที่ 5 - 14 เมษายน 2556 ย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไม่มากก็น้อย เนื่องจากประเทศไทยใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าสูงเกือบร้อยละ 70 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด แบ่งเป็นแหล่งก๊าซจากอ่าวไทยราวร้อยละ 60 และแหล่งก๊าซจากพม่าราวร้อยละ 40 โดยรับก๊าซจากพม่าคิดเป็นปริมาณวันละ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต ผลิตไฟฟ้าประมาณ 6,400 เมกะวัตต์ หรือร้อยละ 25 ของกำลังผลิตในแต่ละวัน จากการที่ บริษัท ปตท.จำกัด( มหาชน) ได้แจ้งว่าจะมีการหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาเพื่อบำรุงรักษาตามวาระระหว่างวันที่ 5 – 14 เมษายน 2556 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เนื่องจากเป็นหน้าร้อนโดยคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดจะมีประมาณ 26,300 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังผลิตสำรองทั้งหมดในระบบลดต่ำลงเหลือเพียงประมาณ 767 เมกะวัตต์


ถาม เหตุใดการหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่งยาดานาแหล่งเดียวจึงมีผลกระทบต่อระบบการจ่ายก๊าซจากพม่าแหล่งอื่นๆ
ด้วยรวมทั้งโรงไฟฟ้าในภาคตะวันตก

ตอบ เนื่องจากก๊าซพม่ามาจาก 2 แหล่ง คือ แหล่งยาดานา ซึ่งสามารถจ่ายก๊าซได้ 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเยตากุนจ่ายก๊าซได้ 450 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่การใช้ก๊าซในโรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตกจะต้องนำก๊าซจากแหล่งยาดานาและเยตากุนมาผสมกัน เพราะก๊าซยาดานามีค่าความร้อนราว 720 บีทียูต่อลูกบาศก์ฟุต เมื่อผสมกับก๊าซที่เยตากุนซึ่งมีความร้อนราว 1,130 บีทียูต่อลูกบาศก์ฟุต จึงจะมีค่าความร้อนตรงตามที่ออกแบบไว้ใช้ในโรงไฟฟ้าที่ราว 835 บีทียูต่อลูกบาศก์ฟุต ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ก๊าซจากแหล่งเดียวมาผลิตไฟฟ้าได้ ทำให้ก๊าซขาดหายจากระบบไปรวม1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน  โรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตกประกอบด้วย โรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าราชบุรีพาวเวอร์ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าไตรเอ็นเนอยี่ และโรงไฟฟ้าวังน้อย จึงต้องหยุดการผลิตที่ใช้ก๊าซลงโดยคาดว่าจะใช้น้ำมันเตาประมาณ86 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซล 47 ล้านลิตร มาผลิตไฟฟ้าทดแทนแต่จะมีโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อยที่ต้องหยุดเดินเครื่อง เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่ออกแบบสำหรับใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ไม่สามารถใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้าแทนได้ ทำให้โรงไฟฟ้าทั้งหมดที่มีกำลังผลิต 8,200 เมกะวัตต์ แต่กำลังผลิตจริงประมาณ 6,400 เมกะวัตต์ เมื่อเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลกำลังผลิตไฟฟ้าที่ขาดหายไปจะมีประมาณ 4,100 เมกะวัตต์


ถาม กฟผ. มีมาตรการรองรับอย่างไร

ตอบ จากสถานการณ์ดังกล่าว กฟผ.ได้เตรียมมาตรการรับมือไว้ 8 แนวทาง คือ

  1. เลื่อนแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าในช่วง วันที่ 5-14 เม.ย. 56
  2. ประสานงานขอความร่วมมือโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กประเภท Non-Firm เดินเครื่องเต็มที่
  3. รับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่มจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กประเภท Firm ประเภทเชื้อเพลิง Renewable 24 ชั่วโมงและประเภทเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติฝั่งตะวันออกช่วง Peak Time เพื่อเสริมระบบ
  4. เร่งรัดและจัดแผนทดสอบโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในข่าย ต้องเดินเครื่องด้วยเชื้อเพลิงดีเซลให้มีความพร้อมในการเดินเครื่องด้วยเชื้อเพลิงดีเซลก่อนเริ่มการทำงานหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากพม่า
  5. ประสานงานโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้เดินเครื่องเต็มความสามารถ และประเทศมาเลเซีย(TNB) เพื่อขอซื้อไฟฟ้าเต็มที่ที่สามารถจะขายให้ได้
  6. ประสานงานกรมชลประทานเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขื่อนในภาคตะวันตก คือ เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งยังมีปริมาณน้ำมากเพียงพอเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมัน
  7. ประสานงาน กฟน. และกฟภ.ทำการย้ายโหลดบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบในเขตนครหลวงไปสถานีไฟฟ้าแรงสูงข้างเคียงเพื่อช่วยปรับปรุงแรงดันในเขตนครหลวง
  8. ประสานงาน กฟภ. และ กฟน.เตรียมแผนดับไฟฟ้าสำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหน่วยงานละ 350 MW ซึ่งจะใช้ในกรณีจำเป็นจริงๆ เท่านั้น  นอกจากนี้ประธานคณะกรรมการ กฟผ. กล่าวเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ว่ามีความเชื่อมั่นว่า กฟผ. จะสามารถบริหารจัดการ เพื่อให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้ในช่วงเวลาที่สหภาพพม่าหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติได้อย่างเพียงพอ แต่ในการบริหารจัดการด้านการสื่อสารขอให้ กฟผ. จัดทำข้อมูลเอกสารประกอบการชี้แจงให้กับกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การนิคมอุสาหกรรมแห่งประเทศไทยและโรงงานอุตสาหกรรม ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและขอให้จัดทำแผนปฏิบัติงาน(Action Plan) การดำเนินงานต่างๆรวมทั้งมาตรการรองรับสถานการณ์โดยให้จัดทำแผนตั้งแต่วันนี้จนถึงช่วงพ้นวิกฤติเพื่อให้เห็นภาพรวมการดำเนินงานทั้งหมด “ ขอให้ กฟผ.วางกรอบการผลิตและการลดการใช้ไฟฟ้าที่ชัดเจนทั้งในเชิงปริมาณและพื้นที่เพื่อให้เห็นตัวเลข Demand / Supply รวบรวมสรุปเป็นรายงานเพื่อชี้แจงกับผู้เกี่ยวข้องจะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจในทิศทางเดียวกัน”


ถาม การหยุดจ่ายก๊าซจะทำให้เกิดไฟฟ้าดับหรือไม่

ตอบ กรณีที่กำลังผลิตสำรองลดต่ำเหลือเพียง 767 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำกว่าปกติมาก ซึ่งหากมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เกิดขัดข้องในช่วงเวลาดังกล่าว จะทำให้ไม่มีกำลังผลิตสำรองเหลือรองรับเหตุการณ์อื่นๆได้อีก ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนอาจส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับได้  ดังนั้น แม้ กฟผ.จะดำเนินการตามมาตรการรองรับแล้ว แต่ระบบไฟฟ้าก็ยังมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงและคุณภาพไฟฟ้า โดยเฉพาะบริเวณใจกลางกรุงเทพฯซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจที่สำคัญ กฟผ. ได้ประสานงานกับ กฟภ.และ กฟน.เพื่อบริหารจัดการให้ระบบไฟฟ้ายังคงมีความมั่นคงมีคุณภาพและเพื่อเป็นการรองรับกรณีฉุกเฉิน กฟผ. ซึ่งได้ประสานงาน กฟภ.และ กฟน.เตรียมแผนดับไฟฟ้าเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนด้วย  สำหรับกรณีที่มีความจำเป็นต้องหยุดจ่ายไฟฟ้าในบางพื้นที่ กฟผ.ได้กำหนดวิธีการและขั้นตอนเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด รวมทั้งจะมีการแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทราบโดยรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม กฟผ.ยังได้ประสานงานเพิ่มเติมกำลังผลิตอีก 291 เมกะวัตต์ ได้แก่ จากโรงไฟฟ้าราชบุรี 30 เมกะวัตต์ ขอซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากมาเลเซียอีก 200 เมกะวัตต์ ขอดับไฟโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้อัตราไฟฟ้าแบบงดจ่ายไฟได้ (Interruptible Rate) 56 เมกะวัตต์ และขอซื้อไฟเพิ่มจากโรงไฟฟ้าด่านช้างไบโออีก 5 เมกะวัตต์ ทำให้คาดว่าจะมีกำลังผลิตสำรองในวันที่ 5 เมษายน 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 1,058 เมกะวัตต์  รวมทั้งจะเพิ่มการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า(DSM) เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนในช่วงที่มีต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของวันที่ 5 เม.ย. 2556 คาดว่าจะทำให้ความต้องการไฟฟ้าลดลงได้ 500 เมกะวัตต์


ถาม กระทรวงพลังงานมีแนวทางการดำเนินงานอย่างไร

ตอบ กระทรวงพลังงานแถลงว่า เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบจากการซ่อมบำรุงดังกล่าวกระทรวงพลังงานจึงได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการด้านเชื้อเพลิงโดยมีข้อสรุป ดังนี้
ด้านก๊าซธรรมชาติ
กระทรวงพลังงานได้ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเจรจากับ บริษัท โทเทล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการแหล่งก๊าซยาดานา โดยได้เลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงออกไปเป็นช่วงเวลา 12.00 น. ของ วันที่ 5 เมษายน 2556 ซึ่งจะทำให้ลดความเสี่ยงของระบบไฟฟ้า ลดการใช้น้ำมันเตาได้ถึง 26 ล้านลิตรและน้ำมันดีเซล 15 ล้านลิตร ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงลง นอกจากนี้ได้ประสานกับผู้รับสัมปทานของแหล่งไพลินเหนือ ซึ่งมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 210 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และแหล่งปลาทองซึ่งมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ให้เลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงดังกล่าวออกไปก่อน จนกว่าการซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซยาดานาจะแล้วเสร็จ  ด้าน บริษัท ปตท. จำกัด( มหาชน) กระทรวงพลังงานให้จัดทำการสำรองน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซลให้กับโรงไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซฯ และให้เตรียมการจัดการก๊าซ NGV โดยในเบื้องต้นจะมีปริมาณก๊าซค้างในท่อ (Line Pack) 350 ล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งจะจ่ายให้กับสถานี NGV แม้ในจังหวัดราชบุรี โดยไม่ได้รับผลกระทบสำหรับสถานีอื่นๆ จะใช้ก๊าซฯจากฝั่งตะวันออกจ่ายย้อนเข้ามา ซึ่งสามารถใช้กับรถยนต์ทั่วไปได้และสำหรับผลกระทบด้าน LPG เนื่องจากมีการจัดส่งก๊าซเข้าโรงแยกก๊าซในระบบลดลงประมาณ 10,000 ตัน ซึ่งได้มีแผนรองรับโดย 5,000 ตัน จะใช้ในส่วนของ Inventory ที่มีอยู่ และ อีก 5,000 ตัน จะพิจารณานำเข้าเพิ่มเติม ด้านไฟฟ้ากระทรวงพลังงานได้สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เดินเครื่องโดยการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าเป็นน้ำมันดีเซลในโรงไฟฟ้า ที่ต้องเดินเครื่องในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซฯ อาทิ ในกลุ่มโรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตก ( โรงไฟฟ้าราชบุรีราชบุรีเพาเวอร์ และโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอร์ยี่) นอกจากนี้ ให้ กฟผ.ประสานกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ใช้อัตราไฟฟ้าแบบ Interruptible Rate ให้ทำการลดใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการหยุดซ่อมบำรุง ซึ่งจะทำให้ลดความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 56 เมกะวัตต์  อนึ่งในวันที่ 5 เม.ย. 2556 ซึ่งเป็นวันที่คาดการณ์ว่าจะมีอุณหภูมิสูงสุดในรอบปี และอาจมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด กระทรวงพลังงานได้จัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลา14.00-14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล และในวันที่ 13 มี.ค.2556 กระทรวงพลังงานพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเตรียมการซ้อมแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานของประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางเตรียมความพร้อมให้แก่ประเทศหากเกิดภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานต่อไป   ด้านนางพัลลภา เรืองรอง กรรมการคระกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) กล่าวถึงการแก้ปัญหาไฟฟ้าช่วงวันที่ 5-14 เม.ย. 2556 ว่าเรกูเลเตอร์ได้ออก 2 มาตรการ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนและป้องกันค่าไฟฟ้าพง คือ

  1. เตรียมเชิญตัวแทนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพื่อขอความร่วมมือให้ประหยัดไฟซึ่งสำหรับห้างสรรพสินค้ามีเป้าหมายให้ลดการใช้ไฟฟ้ารวมกันให้ได้300 เมกะวัตต์โดยจะสลับกันปิดไฟห้างละ 1 ชม. เริ่มตั้งแต่เวลา 12.00 ของวันที่ 5 เม.ย.นี้  และ
  2. เจรจากับทาง กฟผ. เพื่อไม่ให้เดินเครื่องโรงไฟฟ้าบางปะกง และโรงไฟฟ้าระยองในช่วงวิกฤติไฟฟ้า โดยให้นำก๊าซที่ได้จากฝั่งตะวันออกขายให้กับโรงไฟฟ้าก๊าซของภาคเอกชนSPP แทน เพราะเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าของ กฟผ. ที่เป็นเครื่องเก่า


ถาม ในอนาคตจะมีแนวทางป้องกันปัญหานี้อย่างไร

ตอบ จากแนวโน้มในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถจัดส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตทั้งในและนอกประเทศบ่อยครั้ง ตลอดจนการประเมินสถานการณ์ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่จะหมดลงในอีก10 ปี ข้างหน้า ในขณะที่ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้าเกือบร้อยละ 70 ทางเลือกการนำก๊าซธรรมชาติเหลวในรูปของ LNG จากต่างประเทศก็มีราคาสูงเป็น 2 เท่า ทำให้คนไทยมีความเสี่ยงด้านพลังงานและความผันผวนของราคาค่าไฟฟ้ามากขึ้น  ล่าสุด รมว.พลังงานแถลงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับนโยบายเพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว และไม่ให้ค่าไฟฟ้าพื้นฐานขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันและก๊าซ โดยจะให้มีการจัดทำแผน PDP 2013 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพื่อกระจายความเสี่ยงการใช้เชื้อเพลิงประเภทถ่านหิน จาก 18.8 % เป็นไม่น้อยกว่า 20 % ทั้งนี้แผน PDP เดิมให้ใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้า 4,400 เมกะวัตต์ ให้ กฟผ. เพิ่มเป็น 10,000 เมกะวัตต์ โดยอาจให้ กฟผ.ร่วมทุนกับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและการซื้อไฟจากต่างประเทศจาก 10% เป็น 15% และพลังงานทดแทน 10% เป็น 20% ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวลจากหญ้าเนเปียร์10,000 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายลดการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเหลือร้อยละ 45 เมื่อสิ้นสุดแผนฯ  นอกจากนี้ กฟผ.จะดำเนินการสื่อสารสร้างความเข้าใจสถานการณ์พลังงานให้กับสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องความจำเป็นในการกระจายสัดส่วนเชื้อเพลิงซึ่งในอนาคต จะต้องมีการปรับสัดส่วนเชื้อเพลิงไม่ให้พึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดใดมากเกินไป

แหล่งที่มา : PR.EGAT

top | Home


บริษัท ไอ อีซีเอ็ม จำกัด